เรารักสุพรรณ สถานที่ท่องเที่ยวสุพรรณบุรี

     เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๐ เวลา ๑๙.๑๙ น. ฯ พณฯ หลี บุญค้ำ เอกอัครรัฐฑูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประจำราชอาณาจักรไทย พร้อมภริยา ได้กรุณาให้เกียรติเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน โครงการพัฒนาอัตลักษณ์น่าน สรรค์สร้างเศรษฐกิจ ลานวัฒนธรรมวิถีไทยพวน งานสืบสานวัฒนธรรมไทยพวนและงานทอดผ้าป่าสามัคคีไทยพวน ๒๓ จังหวัด ครั้งที่ ๕๙ ณ เวทีกลางลานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน โรงเรียนบ้านหลับมืนพรวน ตำบลจอมจันทร์ อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน

อ่านเพิ่มเติม...

 20160425 111233

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ ( Shwemawdaw Paya) เป็นพระมหาธาตุเจดีย์สำคัญที่อยู่ในเมืองพะโค (หงสาวดี) เป็นเจดีย์โบราณที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้ง มอญเรืองอำนาจ และได้มีการบูรณะและต่อเติมอีกหลายครั้ง

ภายในพระเจดีย์บรรจุพระเขี้ยวแก้วไว้ตั้งแต่สมัย พระเจ้าราชาธิราช และต่อมาในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ได้โปรดให้มีการหล่อ ระฆัง จารึกไว้ที่ฐาน

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ เป็นชื่อเรียกในภาษามอญ และคนไทยก็คุ้นเคยกับชื่อนี้คือ พระธาตุมุเตา แปลว่า "จมูกร้อน" ทั้งนี้เพราะกล่าวกันว่าพระมหาธาตุองค์นี้สูงมาก จนต้องแหงนหน้ามองต้องกับ แสงแดด ทั้งนี้เนื่องจากพระมหาธาตุเจดีย์ ชเวมอดอ นั้นเป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในพม่านั่นเอง

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอหรือพระธาตุมุเตานี้ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ใช้เป็นที่ทำพระราชพิธีเจาะพระกรรณ (เจาะหู) ของ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ เมื่อครั้งพระองค์ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ ภายใต้วงล้อมของทหารมอญหลายหมื่นนายที่เป็นศัตรู แต่ก็ไม่อาจทำอะไรพระองค์ได้

เมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้สามารถยึดเมืองพะโค (หงสาวดี) เป็นราชธานีแห่งใหม่ได้สำเร็จ และในรัชกาลต่อมา คือ พระเจ้าบุเรงนองได้มีการสร้างฉัตรถวายเพิ่มเติมอีกหลายชั้นที่เจดีย์นี้

จนพระมหาธาตุเจดีย์สูงขึ้นอีกหลายเท่า และทรงถอดมณีที่ประดับยอดมงกุฎของพระองค์ถวายเป็นพุทธบูชาสูงสุด อีกทั้งกล่าวกันว่าก่อนที่พระองค์จะออกทำศึกคราใด จะทรงมานมัสการพระมหาธาตุเจดีย์นี้ก่อนทุกครั้ง

ซึ่งในปัจจุบันจุดที่เชื่อว่าพระองค์ทำการสักการะก็ยังปรากฏอยู่ และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งยกทัพมาตีพะโค (เมืองหงสาวดี) ก็ได้เสด็จมานมัสการที่นี่ด้วย

และในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2473 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนพระมหาธาตุเจดีย์ได้พังทลายลงมา หลังจากนั้นก็ได้มีการบูรณะ แต่ซากพระมหาธาตุองค์เดิมก็ได้มีการจัดแสดงไว้ในที่เดิม

ในประเทศไทย มีเจดีย์จำลองของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ ที่วัดชมภูเวก อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายมอญ และที่ วัดปรมัยยิกาวาส บนเกาะเกร็ด ในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายมอญเช่นเดียวกัน

นี่เป็นประวัติย่อๆของพระมหาธาตุเจดีย์ ชเวมอดอ หรือที่คนไทยเรียกว่าพระธาตุ มุเตา ซึ่งผมคัดลอกมาจาก วิกิพีเดีย นะครับ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยทราบเลยจะได้ทราบบ้างพอย่อๆ

20160425 111300

20160425 111141

คณะของผมซึ่งได้ออกจากพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งอยู่ในรัฐฉานของพม่า ในตอนสายๆ (ซึ่งได้เล่ามาแล้วในตอนก่อน) พวกเราเดินทางจากคิมปุนแคมป์ซึ่งอยู่ที่ตีนเขาพระธาตุอินทร์แขวน

คณะเดินทางของเรานั่งหลับบ้างตื่นมาดูทิวทัศน์ข้างทางกันบ้าง ระยะทางจากพระธาตุอินทร์แขวนถึง พระธาตุมุเตาซึ่งอยู่ในเมืองหงสาวดี เป็นระยะทางไกลมาก รถวิ่งอย่างน้อยก็ประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จึงนั่งหลับกันมาตลอดทาง

การเดินทางกลับไปเมืองหงสาเที่ยวนี้ รถวิ่งไปเรื่อยๆหลับบ้างตื่นบ้างดังที่ได้บอกมาแล้ว  คิดว่าคงจะเข้าเขตุเมืองหงสาแล้ว ได้ยินไกด์ ซายซาย บอกว่า นี่คือแม่น้ำสะโตง ผมเหลือบมองเห็นนาย ซายซาย กำลังชี้มือไปที่แม่น้ำ ซึ่งรถกำลังข้ามสะพานพอดี เขาบอกว่าแม่น้ำนี้คือแม่น้ำที่สมเด็จพระนเรศวร ได้ทรงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำ ไปถูกแม่ทัพของพม่าคนหนึ่ง

P4230039

 แม่น้ำสะโตง หรือ แม่น้ำซิตอง Sittoung River เป็นแม่น้ำในประเทศพม่ามีความยาว 420 กิโลเมตร เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่าง เขตหงสาวดีกับรัฐมอญ

แม่น้ำสะโตงเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ความกว้างจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งในบางตอนอาจกว้างถึง 3 กิโลเมตร

แม่น้ำนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จหลบหนีกองทัพพม่าของพระมหาอุปราชมังสามเกียด พระองค์ได้หลบหนีข้ามพ้นมาและได้แสดงวีรกรรมยิงพระแสงปืนข้ามลำน้ำสะโตง คือ ยิงปืนคาบศิลาจากอีกฝั่งของแม่น้ำไปถูกแม่ทัพพม่า ชื่อ สุรกรรมา เสียชีวิตคาคอช้าง เมื่อปี พ.ศ. 2127 ซึ่งต่อมาพระแสงปืนกระบอกนี้ได้ถูกขนานนามว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง " ผมมองดูแล้วแม่น้ำสะโตงนี้เป็นแม่น้ำที่กว้างมากจริงๆ สมเด็จพระนเรศวรได้ยิงปืนข้ามไปได้ คงจะเป็นเพราะว่าในครั้งกระนั้น จุดที่สมเด็จพระนเรศวรยิงปืนนั้นคงเป็นจุดที่แคบที่สุดของแม่น้ำสะโตงก็เป็นได้นะครับ

เมื่อรถวิ่งเข้าเขตุเมืองหงสาวดีก็เกือบเที่ยง ไกด์จึงได้บอกให้รถบัสที่เรานั่งมา เลี้ยวเข้าไปที่ภัตตาคารเพื่อกินอาหารกลางวันกันก่อน และอาหารมื้อกลางวันของวันนี้จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ในพม่า เพราะว่าในตอนค่ำวันนี้ก็จะเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว โดยการไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินนานาชาติ มิงกาลาดง ที่เมืองย่างกุ้งซึ่งห่างจากเมืองหงสาประมาณ 80 กิโลเมตรครับ

ดังนั้นในเวลาที่เหลือหลังจากกินอาหารมื้อกลางวันนี้กันแล้ว เขาก็จะพาพวกเราไปที่พระธาตุมุเตา แล้วก็ไปไหว้พระนอนชเวตาเลียวของเมืองหงสาวดี 

P4250429

กินอาหารกันเสร็จแล้ว ก็เที่ยงกว่าแดดกำลังร้อนจัดเลยทีเดียว รถพาพวกเราวิ่งไปที่พระเจดีย์พระธาตุมุเตาเลยทีเดียว วิ่งไปไม่นานนักหรอก ก็ถึงแล้ว

เจดีย์พระธาตุมุเตานี้เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดของพม่า สูงกว่าเจดีย์ชเวดากอง ที่เมืองย่างกุ้ง ที่เราได้ไปกันมาแล้วอีก 

พอลงจากรถแล้วก่อนเข้าไปในบริเวณเจดีย์ก็ต้องถอดรองเท้ากันอีกตามธรรมเนียม พวกเราจึงถอดรองเท้าเอาไว้ในรถ อากาศยิ่งร้อนแล้วก็เดินด้วยเท้าเปล่านี่เดินยากที่สุดเลย พวกเราจึงรีบเดินเข้าไปที่เจดีย์ ตรงนั้นเป็นวิหารใหญ่ ปลูกสร้างเป็นศิลปะของพม่า สวยงามมาก ในนั้นมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆนั่งอยู่หลายองค์ มีดอกไม้ธูปเทียนสำหรับบูชาพระขายอยู่ตรงนั้นด้วย

P4250390
P4250389
P4250393

ไหว้พระกันเสร็จแล้ว ก็ออกทางประตูด้านข้าง เดินไปชมยอดเจดีย์ที่หักโค่นลงมาเมื่อ พ.ศ. 2463 ซึ่งเขาก็ยังเก็บเอาไว้อยู่ข้างๆเจดีย์นั่นเอง มีคนมากราบไหว้กันมาก และมีบางคนเอาก้านธูปมาตั้งเอาไว้เหมือนกับว่าค้ำเอาไว้ อยู่เกะกะมากมาย

เจดีย์พระธาตุมุเตานี้มีลักษณะใหญ่และสูงมากจึงต้องถอยออกมามองที่ระยะไกล พวกผมพร้อมด้วยไกด์ ออกมายืนอีกด้านหนึ่ง จึงมองเห็นและถ่ายรูปกันตรงนั้น ไม่ได้เข้าไปใกล้เจดีย์เลย เพราะอากาศร้อนและแดดแรงมากจึงทำให้การถ่ายรูปในตอนนี้ออกมาไม่ดี ภาพที่ถ่ายจะออกมาพร่าและขาวมัวไปหมด มีใช้ได้เพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น เป็นที่น่าเสียดายเป็นอันมาก

20160425 111402

20160425 111518

สถานที่ศักดิ์สิทธ์ของพม่าตรงนี้น่าเสียดายที่ได้เดินดูกันนิดเดียวเท่านั้นไม่สมกับที่ได้ตั้งใจมาเที่ยวชมกัน ไม่เหมือนที่เจดีย์ชเวดากองที่เมืองย่างกุ้ง ที่ได้ไปเที่ยวชมกันในตอนเย็นแล้ว ดังที่ได้เล่ามาในตอนก่อนๆ ถ้าหากว่าที่พระธาตุมุเตานี้ มากันในตอนเย็นหรือในตอนที่อากาศไม่ร้อนมาก ก็จะได้เดิมชมกันนานๆให้ทั่วถึง

เดินดูกันประเดี๋ยวเดียวให้พอรู้ว่าได้มากันและถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลากลับไปที่รถ นั่งรถกันต่อไปที่ พระนอนองค์หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ชเวตาเลียว ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักนั่งรถประเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว

20160425 124633

พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว หรือที่คนไทยเรียกกันว่าพระนอนยิ้มหวานนี้ เป็นปูชนีย์สถานศักดิ์สิทธ์อันดับสองของเมืองหงสาวดี รองลงมาจากพระธาตุมุเตาที่พวกเราได้ไปกันมาก่อนหน้านี้แล้ว

พระนอนชเวตาเลียว เป็นพระพุทธไสยาสน์ มีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุต ตามตำนานบอกว่า สร้างโดยพระเจ้า เมงกะติปะ ซึ่งเป็นกษัตริย์มอญ ในสมัยที่มอญเรืองอำนาจ มีพุทธลักษณะที่งดงาม

P4250445

P4250440

ด้านหลังองค์พระมีภาพวาดเล่าขานตำนานอย่างสวยงาม หลังจากที่พระเจ้า อลองพยาปราบมอญได้ราบคาบแล้ว เมืองหงสาวดีก็ถูกทิ้งร้าง พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ก็ไม่ได้รับการดูแลจนกลายเป๋นกองอิฐจมอยู่ในพื้นดิน จนถึงปี พ.ศ. 2424 เมื่ออังกฤษได้สร้างทางรถไฟสายพม่า จึงได้ขุดพบพระนอนองค์นี้

และจากนั้นในปี พ.ศ.2491 หลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ จึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ ขึ้นมาอย่างจริงจัง จนถึงทุกวันนี้

อันนี้เป็นประวัติเรื่องราวย่อๆของพระนอนองค์นี้นะครับ

P4250437

คณะของเราได้ซื้อดอกไม้ธูปเทียนกราบไหว้กันตามประสาผู้มาแสวงบุญกันทั่วทุกคน เสร็จ ถ่ายรูปกันบ้างแล้วก็นั่งพักเหนื่อยกันสักครูหนึ่ง ก็จะออกเดินทางกันกันต่อไป

แวะมาที่เมืองหงสาเพียงเท่านี้ แล้วก็ต้องเดินทางต่อไปยังเมืองย่างกุ้ง เพราะว่าจะต้องไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินในเมืองย่างกุ้ง เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯในตอนค่ำๆของวันนี้

ย้อนกลับมาที่เมืองย่างกุ้งอีกครั้ง

จากเมืองหงสากลับมาเมืองย่างกุ้งระยะทาง 80 กิโลเมตรนั่งรถกันนานพอสมควร เมื่อถึงเมืองย่างกุ้งแล้ว ไกด์ดูนาฬิกาแล้วบอกว่า ยังพอมีเวลาที่จะไปเยี่ยมพระองหนึ่ง ที่อยู่ที่วัดไม่ไกลนัก ไกด์บอกว่า มีคนไทยที่มาเที่ยวที่เมืองหงสานี้ มักจะไปเยี่ยมหลวงพ่อองค์นี้ เพราะว่าหลวงพ่อองค์นี้ท่านมีของดีแจก ไกด์ของเราบอกอย่างนั้น แบบว่าเพิ่มความอยากไปขึ้นมาอีก

ไกด์ได้ถามว่าจะไปกันหรือเปล่า พวกเราทุกคนเต็มใจที่จะไปกันเรียกว่าพาไปไหนก็ไป ยิ่งรายการนี้เขาว่ามีของดีแจก ทุกคนก็หูผึ่งนะซี เอ้าไปกันเถอะ

ซึ่งรายการนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมที่เขาจะพาเที่ยว เรียกว่าเป็นรายการพิเศษก็ว่าได้

ดังนั้นรถก็วิ่งพาพวกเราลัดเลาะไปอีกไม่นานนัก ก็มาถึงวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ชื่อว่า วัดเทนตองไตติท หรือที่เรียกกันทั่วๆไปว่า วัดบารมี ซึ่งมี พระภัททันตะ กิตติวาระ เป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้

 20160425 152636

 20160425 153618

วันนี้โชคดีที่ท่านเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดไม่ได้ไปไหน พวกเราจึงได้พบท่าน และได้รับแจกของดี ของดีที่ไกด์บอกเมื่อตอนอยู่บนรถนั้นคือพระธาตุ ซึ่งได้รับแจกจากมือท่านเจ้าอาวาส เอากลับไปที่บ้านกันแทบทุกคน

เมื่อได้เวลาแล้วก็ลากลับออกไปขึ้นรถ และเดินทางต่อไปที่โรงเลี้ยงช้างซึ่งเป็นช้างเผือก รถวิ่งพักเดียวก็ถึง ที่จริงผมและคุณหวานกับเพื่อนอีกสองสามคน ก็นึกว่าจะไม่เข้าไปดูแล้ว เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไร

ก็คงเป็นสถานที่เลี้ยงช้างของรัฐบาลนั่นเอง อีกอย่างชักจะล้าและปวดเมื่อยเนื้อตัวตั้งแต่ขึ้นพระตุอินทร์แขวนตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว  แต่ในเมื่อได้มีโอกาสมาแล้ว ก็เลยชวนกันเดินตามกันไปเป็นพรวน ซึ่งรถยนต์เข้าไม่ได้ รถจึงจอดรอที่หน้าประตูทางเข้า แล้วก็เดินเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร

P4250452

P4250453

P4250455

ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ที่นี่ก็เปรียบเสมือนโรงเลี้ยงช้างของหลวง (ไม่ใช่ของเอกชน) ตอนที่ไปดูนั้นมีช้างอยู่ 2 เชือก จะมีอีกหรือเปล่านั้นผมมองไม่เห็นจริงๆ ช้างเผือกทั้งสองเชือกนี้ (เท่าที่เห็น) อ้วนพีมากสมกับเป็นช้างของหลวงเลยทีเดียว มีคนเข้าไปถ่ายรูปกับช้างที่อยู่ในความควบคุมของคนเลี้ยงด้วย

ที่นี่เขามีของที่ระลึกที่ทำจากงาช้างจำหน่ายด้วย แต่มีไม่มากนัก ราคาจะแพงหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบ เห็นไกด์ ซายซาย ซึ่งพูดพม่าได้เจรจาอยู่กับคนขาย คงจะถามเรื่องราคา แต่ผมฟังไม่ออกจึงไม่รู้ราคาและไม่ได้ซื้ออะไรติดตัวกลับบ้านเลย

P4250458

 

อยู่ที่โรงเลี้ยงช้างไม่นาน ก็รีบออกจากที่นั่นเพราะเวลาเริ่มน้อยลงทุกทีแล้ว แล้วก็มุ่งตรงไปชมพระหยกขาว ที่วัดพระหยกขาว The Jade Buddha ซึ่งทางการพม่าเขาแกะสลักจากหยกขาวทั้งก้อน พระองค์นี้ใหญ่มาก จะเป็นหยกทั้งก้อนจริงๆหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้

แต่ก็น่าเสียดายที่ผมและเพื่อนอีกหลายคนไม่ยอมลงจากรถไปดูพระหยกองค์นี้ เพราะว่าเมื่อยเหลือเกินแล้วครับ รถจอดที่ลานวัดแล้วก็เดินๆเล่นแถวๆหน้าประตูทางขึ้นนั่นเอง เกี่ยวกับพระหยกขาวนี้ผมจึงไม่มีภาพมาให้ชมกันครับ ที่เที่ยวตามโปรแกรมก็หมดแล้ว จึงออกเดินทางไปยังสนามบิน

P4250463

P4250465

P4250467

ซื้อของกินเล็กน้อยเป็นพวกผลไม้ เอาไว้กินระหว่างทาง ที่บริเวณหน้าวัดพระหยก

เราไปถึงสนามบินนานาชาติ มิงกาลาดง ที่ย่างกุ้ง ก็หกโมงเย็นกว่าๆแล้ว เครื่องบินจะออกเวลาประมาณทุ่มครึ่ง  พวกเรามาถึงสนามบินในเวลานี้ก็นับว่าเหมาะพอสมควร เพราะว่าต้องเผื่อเวลา ที่จะทำพิธีการต่างๆด้วย

แต่ที่สนามบินของพม่านี้คนไม่เยอะเท่าสนามบินดอนเมือง พิธีการต่างๆจึงเสร็จเร็วเพราะว่าการมาเที่ยวที่พม่าครั้งนี้ผมไม่ได้ซื้ออะไรติดมือกลับบ้านเลย จะมีก็มีเพียงระฆังทองเหลืองเล็กๆลูกเดียวเท่านั้น และมีธนบัตรของพม่าอีกสองสามใบ เพื่อเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง คงเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงที่จะหาอะไรกินก่อน เรียบร้อยแล้วก็ไปรอในห้องผู้โดยสารขาออก

ขากลับกรุงเทพฯโดยสารการบินเดิมเช่นเดียวกับขามาคือ สายการบินแอร์เอเซีย ผู้โดยสารก็แน่นมากอีกตามเคย เมืองย่างกุ้งของพม่า กับสนามบินดอนเมืองของไทย เครื่องบินจะบินไม่นาน ประมาณ 45 นาที เครื่องก็จะร่อนลงสนามบินดอนเมืองแล้ว

ในวันนั้นเครื่องบินลงจอดที่ดอนเมืองแล้วโดยปลอดภัย ผ่านพิธีการศุลกากรและคนเข้าเมืองแล้ว ก็ไปรอรับกระเป๋าเดินทางที่รางเลื่อนในตัวอาคาร  แล้วโทรบอกลูกสาวให้มารับตรงจุดที่นัดกันไว้ ไม่นานนักลูกสาวก็มารับ และเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

บทความในลักษณะสารคดีเรื่อง ไปเที่ยวพม่า ที่มีหลายตอนนี้ไม่ได้เป็นเอกสารทางวิชาการ หรือการนำมาอ้างอิงใดๆได้ทั้งสิ้น ผมเขียนเล่ามานี้ก็เพียงแต่เป็นสิ่งที่ได้พบเห็นและสัมผัสมาด้วยตัวเองจริงๆเท่านั้น

ขอขอบคุณท่านที่ได้ติดตามอ่านมาจนจบ อาจจะมีข้อความใดที่ได้กล่าวผิดพลาดบ้าง ก็ขออภัยแด่ท่านผู้อ่านและทุกๆท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องภายในเรื่องนี้ด้วย

สวัสดีครับ

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

ที่ระเบียงห้องพักของโรงแรม โย โย เลย์ 

ปิดทองเสร็จแล้ว ผมย้อนกลับไปเอาระฆังทองเหลืองลูกเล็กๆจากที่ผมแขวนเอาไว้ ดูชื่อที่เขียนเอาไว้จนแน่ใจว่าไม่ได้หยิบของคนอื่นมา แล้วผมก็กลับออกมาจากที่ตรงก้อนหินนั้นขึ้น บันได ผ่านประตูยามรักษาการณ์ เข้าไปในหมู่คนเหมือนเดิม เห็นคุณหวานยืนรออยู่ที่เดิมจึงหากันได้ง่าย

เสร็จธุระเรื่องไหว้พระธาตุแล้ว คราวนี้จะเดินดูอะไร หรือดูบรรยากาศทั่วๆไปก็เดินได้อย่างสบายใจแล้ว

บรรยากาศยามค่ำคืนบนลานกว้างที่เรียกว่า พระธาตุอินทร์แขวนนี้ สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ผู้คนมากมายไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนกันบ้าง แน่นขนัดไปหมดทั้งๆที่ตอนบ่ายตอนที่พวกผมมาถึงใหม่ๆ ยังไม่ค่อยมีคนมากขนาดนี้เลย นี่ขนาดไม่ใช่เป็นเทศกาลเป็นเพียงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ธรรมดานี่เองนะครับ

ถ้าเป็นเทศกาลสงกรานต์หรือเทศกาลปีใหม่ มีคนที่เคยมาแล้วบอกว่า จะมีคนมากที่สุด ที่ผมมากันเที่ยวนี้ก็ดีแล้วครับ ถึงมีคนมากแต่ก็คิดว่ายังน้อยกว่าที่เป็นวันเทศกาลต่างๆ ถ้ามีคนมากๆก็จะแย่งกันในทุกๆเรื่องเช่นการกิน การทำธุระส่วนตัว การนอน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ จะชุลมุนวุ่นวายไปหมด ซึ่งถ้าเป็นเรื่องยุ่งๆยากๆ ละก็ผมไม่เอาด้วยเด็ดขาดครับ

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

ตอนนี้มืดแล้ว บรรยากาศรอบๆภูเขาที่เป็นลานพระธาตุนี้ สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ แต่ข้างนอกไกลๆออกไปทางทิวเขาซึ่งสลับซับซ้อนนั้นยังมองเห็นลางๆ มองไปบางที่ของหุบเขา เห็นแสงไฟ แว๊บๆ วูบวาบ แบบริบหรี่ เพราะระยะไกลจึงไม่ทราบว่าที่เห็นบางแห่งมีแสงไฟนั้น

คือแสงไฟของอะไร หรือว่าเป็นไฟป่ากำลังลุกไหม้อยู่ หรือว่ามีคนไปปลูกกระท่อมที่พักเพื่อเฝ้าไร่ หรือว่ามีคนเข้าไปทำอะไรแล้วพักแรมอยู่ในป่าแล้วได้ก่อกองไฟขึ้นมา ไล่ความหนาวและป้องกันสัตว์ที่จะเข้ามาทำอันตรายในเวลากลางคืน  

ถ้าจะดูทิวทัศน์ให้ชัดต้องดูตอนกลางวัน แต่ถ้าจะดูจุดเล็กๆนั้นก็ต้องใช้กล้องส่องทางไกลดูครับ มีคนบอกว่า ในตอนกลางวันถ้าอากาศดีๆ เรามองจากที่ตรงนี้จะมองไปได้ไกล จะมองเห็นแม่น้ำสะโตง (ที่สมเด็จพระนเรศวรยิงปืนข้ามแม่น้ำ) อยู่ไกลๆสุดสายตาด้วย เมื่อตอนกลางวันผมไม่ได้มองนะครับ ผมจึงบอกไม่ได้ว่าจะเห็นแม่น้ำนั้นจริงหรือเปล่า

ลมเย็นๆโชยวูบวาบเป็นระยะๆมาต้องกาย ผมกับคุณหวานยืนดูทิวทัศน์ ยืนพิงที่รั้วเหล็กกั้นสำหรับป้องกันไม่ให้คนตกลงไป มองไปข้างนอกจากภูเขาลูกนี้ไป มองเห็นภูเขาที่สลับซับซ้อนเป็นเงาลางๆดังที่ได้บอกมาแล้ว

ตากลมเย็นๆกันสักครู่หนึ่งจึงได้เดินเข้าไปในกลุ่มคน บังเอิญพบเพื่อนในกลุ่มเดียวกับผมที่แยกกันเมื่อสักครู่นี้ ก็เลยเดินรวมกลุ่มกัน ดูนั่นดูนี่นานๆเข้าก็ชักจะเมื่อยขาซะแล้ว อยากจะหาที่นั่งพักสักประเดี๋ยว ก็เลยเดินเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังนั่งอยู่บนเสื่อ

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

มีคนสามสี่คนนั่งอยู่บนเสื่ออยู่ก่อนแล้ว แต่ยังมีที่ว่างยังนั่งได้อีก คุณหวานก็เลยพูดออกเสียงเป็นภาษาไทย พลางยกไม้ยกมือเป็นภาษาใบ้ว่า จะขอนั่งตรงนั้นด้วย ได้ยินเสียงตอบมาว่า นั่งได้ นั่งได้ เชิญตามสบายเลยจ๊ะ

เสียงพูดภาษาไทยไม่ชัดแต่ฟังดูแล้วรู้เรื่อง จึงคิดว่าเขาเป็นคนที่ไหนกันแน่ ผมคิดว่าคงเป็นคนพม่าบางคนที่อาจจะเคยไปทำงานที่เมืองไทยหลายๆปี ก็เลยพูดไทยได้บ้าง

พวกเราต่างขอบคุณเขาที่เต็มใจให้นั่งพักเมื่อยบนเสื่อนั้น แล้วการเจรจาคุยกับเจ้าของเสื่อก็เริ่มขึ้น เจ้าของเสื่อนี้เป็นผู้หญิงในวัยกลางคนแล้ว กะว่าอายุจะใกล้ๆ 50 ปี มากับสามี ที่คิดว่าจะมีอายุมากกว่าภรรยาสักสองสามปี  ลูกสาวคนหนึ่ง แล้วก็แม่ของสามี (แม่ผัว) รวมทั้งหมด 4 คน

ทั้งหมดนี้เป็นคนชาวพม่า มีบ้านพักอาศัยอยู่ที่เมืองเมียวดี ซึ่งจากตรงนี้ไปต้องขึ้นเหนือไปอีก น่าจะประมาณ 800 กม. การเดินทางมาที่นี่ของเขา  เขาบอกว่าขับรถปิ๊กอัพมาตลอดทั้งวัน ด้วยแรงศรัทธาต่อพระธาตุแห่งนี้

ผัวเมียคู่นี้มีอาชีพค้าขาย โดยที่เมืองเมียวดีของพม่าเป็นจังหวัดที่ติดต่อกับ อ.แม่สอด จ.ตากของไทยเรา เขาจึงขับรถข้ามไปมาระหว่างเมียวดี กับ อ.แม่สอดเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละสองครั้ง

การติดต่อค้าขายกับคนไทยนั้นจึงทำให้ผัวเมียคู่นี้พูดไทยได้ แม้ว่าสำเนียงของพม่ายังติดอยู่ แต่ก็พูดและฟังภาษาไทยออกเกือบทุกคำ ส่วนสามีของเธอก็ข้ามไปมาค้าขายกับเธอด้วยแต่ยังพูดภาษาไทยได้ไม่มากนัก แต่ก็ฟังออกทุกคำ

คุยกันเป็นเวลานาน พูดคุยกันรู้เรื่องดี เธอได้ถามว่าพวกเรามาจากที่ไหน คุณหวานบอกว่ามาจากกรุงเทพฯ ในตอนสุดท้ายเธอบอกว่าอยากให้ไปเที่ยวที่บ้านเธอบ้างถ้ามีโอกาส

นั่งพักและคุยกับเจ้าของเสื่อนานพอสมควรแล้ว ก็นึกอยากจะกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม จึงบอกเจ้าของเสื่อขอบคุณเขา แล้วก็เดินกลับโรงแรมต่างคนต่างก็ย้ายกันไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน

ผมและคุณหวานเข้าห้องพักแล้วก็รีบอาบน้ำชำระร่างกาย หลังจากที่เหนื่อยและร้อนเหงื่อเหนียวตัวมาทั้งวัน ที่นี่เขามีน้ำเย็นน้ำอุ่นด้วย เหมือนโรงแรมอื่นๆ เสียอย่างเดียวไม่มียาสระผมให้ด้วย ในวันนั้นผมจึงไม่ได้สระผม เพราะว่ายาสระผมไม่ได้ติดมาจากเมืองไทย

อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยกันแล้วสวมเสื้อผ้าสำหรับนอน แล้วก็นั่งพักเปิดทีวีดู ทีวีที่นี่รับได้หลายช่อง แต่เป็นช่องของพม่าเป็นส่วนใหญ่ มีช่อง 3 ของไทยเพียงช่องเดียวที่รับได้ แต่ไม่ชัดนัก ก็พอดูได้ ที่ดูก็เพราะว่าอยากได้รับข่าวจากเมืองไทยบ้าง วันนั้นบังเอิญดูข่าวช่อง 3 เห็นข่าวของคุณบรรหารเสียชีวิตพอดี

ในตอนกลางคืนกลางดึกประมาณตี 3 เห็นจะได้ ผมตื่นขึ้นมาจะเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงคนพูดกันแว่วๆแต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ก็ไม่ได้สนใจอะไร เข้าห้องน้ำแล้วก็ล้มตัวนอนตามปกติ

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

ตื่นเช้ามาอาบน้ำแต่งตัวแล้ว คอยเวลา 6 โมงเช้าจะต้องไปกินอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารของโรงแรมอีกมื้อหนึ่ง ในระหว่างคอยเวลา ได้ถ่ายรูปวิวที่มองออกมาจากหน้าห้องพักเอาไว้ด้วย

เมื่อไปถึงห้องอาหารแล้ว เห็นคนคุยกันอยู่จึงเดินผ่านเข้าไปฟัง ก็ได้ความว่า เมื่อคืนนี้ตอนตี 3 คนที่มากรุ๊ปเดียวกับผมเป็นผู้ชายเกิดไม่สบายขึ้นมา คนนี้เขามากับภรรยาและลูกชายโตแล้วคนหนึ่ง

ที่โต๊ะอาหารที่ดาดฟ้าเมื่อตอนมื้อเย็น รับประทานอาหาร (คนนี้ผมเห็นว่ากินเบียร์ด้วย) กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นไปพักผ่อนกันที่บนห้อง คนนี้เขาไม่ได้ออกไปที่ลานพระธาตุอีก พอตกประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ก็เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง กินยาธาตุที่เตรียมมาจากบ้านก็ไม่ดีขึ้น

งานนี้ฝ่ายภรรยาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปเรียกเพื่อนที่พักอยู่ห้องใกล้ๆกัน คืนนั้นจึงโกลาหล มีคนตื่นอีกหลายห้องมาช่วยกันด้วย  เพราะว่าเขามาด้วยกันจากกรุงเทพฯ

ในที่สุดไม่รู้จะทำอย่างไรคนป่วยก็บิดตัวปวดท้องอย่างรุนแรง  จึงลงความเห็นกันว่าต้องขอพึ่งหมอแล้วละ ดังนั้นประมาณตี 3 (ที่ผมได้ยินเสียง) เธอพร้อมด้วยลูกชายและมีเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งติดตามไปเป็นเพื่อนด้วย รีบออกจากห้องพัก เดินไปทางลานพระธาตุซึ่งตอนนี้เงียบสงบลงไปบ้างแล้ว มีคนเดินน้อยลง มีคนนอนกันเกลื่อนกราดไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย

เธอพร้อมด้วยลูกชายรีบเข้าไปหาคนที่รักษาการณ์อยู่ พลางเล่าให้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่รักษาการณ์ก็ใจดีรีบไปรับหมอที่อยู่ในตลาดห้องแถว ขึ้นไปยังห้องพักของคนป่วยทันที หมอตรวจอาการเบื้องต้นแล้ว ลงความเห็นว่า ที่ปวดท้องอย่างรุนแรงนั้นเป็นเพราะว่าอาหารเป็นพิษ จึงได้ฉีดยาให้ และจัดยาให้ แล้วตอนหลังจากที่หมอฉีดยาให้แล้ว เป็นอย่างไรต่อไป ผมก็ไม่ทราบแล้ว

เรื่องที่ผมได้ยินมาก็มีเท่านี้ ในเช้าวันนี้อาการของชายคนป่วยก็คงจะดีขึ้น แต่ไม่ได้ลงมากินข้าวเช้ากับเขาด้วย คงจะนอนพักอยู่ในห้องพักนั่นเอง

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

เช้าวันนี้อาหารเช้าในห้องอาหารก็มีพวกข้าวผัด แล้วก็กับข้าวต่างๆที่เหมาะกับ ที่เป็นอาหารเช้า กินกันเสร็จแล้ว ต่างคนก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก เพื่อไปเก็บข้าวของหรือเพื่อจะทำธุระหนักเบาส่วนตัว ก่อนที่จะคืนห้องแล้วออกจากโรงแรมนี้ไป

ผมเก็บข้าวของเสื้อผ้าและของส่วนตัวเล็กน้อย เพราะว่าไม่มีอะไรมาก ตรวจดูคร่าวๆแล้วคิดว่าไม่ลืมอะไรแล้วสายชาร์ตแบตฯโทรศัพท์ก็ไม่ลืม จึงหิ้วกระเป๋าออกจากห้อง แล้วมาถ่ายรูปวิวที่ตั้งใจจะถ่ายเมื่อเย็นวานนี้ เสร็จแล้ว ก็ลงไปชั้นล่าง และไปรวมกลุ่มกันที่ๆทำการของโรงแรมพร้อมกับคืนกุญแจห้อง

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

คืนกุญแจห้องกันครบหมดทุกคนแล้ว ไกด์บอกว่า ให้พวกเราขึ้นไปข้างบนเพื่อไปไหว้พระธาตุอีกครั้งหนึ่ง หรือใครจะไม่ไหว้ก็ตามใจ แต่เมื่อถึงเวลา 7.30 น.ให้พวกเราไปรวมตัวกันที่เสาที่มีหงส์ เหมือนกับเมื่อตอนขามา ซึ่งทุกคนก็รู้อยู่แล้ว แถมไกด์ยังเตือนอีกว่า เวลาที่ขึ้นไปที่ลานพระธาตุให้ทุกคนถอดรองเท้าถือขึ้นไปด้วย

ทุกคนจึงถือกระเป๋าแล้วก็ถอดรองเท้าเดินขึ้นไปบนลานพระธาตุ แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปจะทำอะไรก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลานัดก็ไปตามนัดก็แล้วกัน

เที่ยวนี้ผมกับคุณหวานและเพื่อนอีกสองสามคนไม่ได้ไปปิดทอง เพียงแต่กราบตรงพื้นเฉยๆ ถือเสียว่าเป็นการไหว้ครั้งที่สาม แล้วก็เดินดูบรรยากาศ และถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกด้วย

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

เมื่อถึงเวลานัดก็เดินไปที่เสาที่มีหงส์อยู่บนยอดเสา ที่นั่นมีคนหลายคนมารอกันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้เวลาและมีคนมาครบกันแล้ว ก็ออกเดินทางกลับไปตามทางเดินที่เมื่อวานได้เดินกันขึ้นมา

ในตอนเช้าๆอย่างนี้ตามทางเดินมีคนเดินกันขวักไขว่ ตลอดทางมีพระยืนคอยรับบิณฑบาตด้วย ใครมีจิตศรัทธาก็เอาเงินใส่ลงไปในบาตรแทนข้าวปลาอาหาร เพื่อเป็นการทำบุญ ขากลับนี้ดูเหมือนว่าจะเดินเร็วกว่าขามา ไม่นานนักก็ถึงสถานที่จอดรถจะเขารอรับผู้ที่จะกลับลงไปข้างล่าง

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

     ไกด์ได้ติดต่อรถมาคันหนึ่ง ซึ่งเหมาเป็นพิเศษโดยไม่มีผู้โดยสารอื่นๆปนมาเลยเหมือนเมื่อตอนขาขึ้นมา และวันนั้นรถได้พาพวกเราลงจากเขาที่ประดิษฐานพระธาตุโดยปลอดภัย ลงมาถึงพื้นแล้วรถทัวร์ที่เรานั่งมาตลอดคันนี้ มาจอดรอรับพวกเราอยู่แล้ว พวกเราจึงเดินทางกลับไปยังเมืองหงสาวดี ต่อไป

     เรื่องการไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนนี้ ผมต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านด้วย ซึ่งเขียนได้ไม่ละเอียด ซึ่งใช้ความจำและเขียนเท่าที่เห็นมาเท่านั้น ส่วนภาพก็ถ่ายมาเองไม่ได้เอาภาพของผู้อื่นมาแต่อย่างใด จึงอาจจะไม่สวยงามเหมือนพวกช่างภาพมืออาชีพ ก็ต้องขออภัยด้วย

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

share now2

 

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

พวกเราเดินตามนายซายซายไกด์ของเราไปเป็นกลุ่มเพื่อจะไปยังโรงแรมที่เราจะพักกันในคืนนี้ โรงแรมก็อยู่ใกล้ๆกับลานพระธาตุนั่นเอง  เห็นป้ายชื่อของโรงแรมแล้ว จึงรู้ว่าโรงแรมมีชื่อว่า  โย โย เลย์ (Yoe Yoe Lay)

ตัวอาคารของโรงแรมมองจากลานพระธาตุเห็นอยู่ข้างล่าง เพราะว่าพิ้นที่ของโรงแรมต่ำลงไปมากพอสมควร โรงแรมนี้ไม่ใหญ่มากนักคงจะมีห้องพักเพียงไม่กี่ห้อง ไม่เหมือนโรงแรมใหญ่ๆในเมืองซึ่งมีห้องมากมาย บางโรงแรมก็มีเป็นหลายร้อยห้อง

สุดลานพระธาตุตรงที่มีป้ายชื่อโรงแรมตั้งอยู่ ก็ต้องเดินลงบันไดคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งมีประมาณ 52 ขั้น ที่ติดต่อสอบถามซึ่งเป็นอาคารหนึ่งของโรงแรม อยู่ตรงใกล้ๆเชิงบันไดนั่นเอง

เมื่อไปถึงแล้วเห็นคนมีคนมาติดต่อที่ห้องนี้หลายคน ไกด์บอกให้พวกเรารอตรงที่พักหน้าอาคารที่ทำการ ส่วนไกด์ทั้งสองคนก็เดินเข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรม

ในขณะที่ไกด์กำลังเข้าไปติดต่อนั้น รองเท้าของพวกเราที่ถอดให้คนขนขึ้นมาในตอนที่มาถึงนั้น มาเรียงเป็นคู่ๆอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเราเลือกของใครของมันมาใส่เอาไว้ เพราะว่าตรงบริเวณนี้ใส่รองเท้าได้แล้ว

ไม่นานนักไกด์ก็เดินออกมาพร้อมกับในมือถือกุญแจกลุ่มใหญ่ แล้วก็เรียกชื่อพวกเราแต่ละคนให้ไปรับกุญแจห้องพัก ทุกคนได้รับกุญแจห้องกันเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินไปที่ตัวอาคารโรงแรมซึ่งอยู่ห่างจากสำนักงานนิดหน่อย ผมกับคุณหวาน ได้ห้องพักทางด้านที่มองเห็นทิวทัศน์อันสวยงาม ซึ่งอยู่ชั้นที่สองของอาคารหลังนี้

พระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหน

เปิดประตูห้องพักเข้าไปแล้ว เห็นภายในห้องไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปนัก มีเตียงนอนสะอาดพอสมควร และอุปกรณ์อื่นๆก็เหมือนโรงแรมโดยทั่วไป โผล่เข้าไปในห้องน้ำ ก็ดูสะอาดดี มีอุปกรณ์ในการอาบน้ำพร้อม 

โรงแรมนี้ได้ยินคนที่มากลุ่มเดียวกันพูดว่า โรงแรมนี้เขาจะรับคนพม่าเป็นอันดับแรก เมื่อห้องเหลือจึงรับคนอื่นที่ไม่ใช่พม่า และอัตราค่าห้องจะสูงพอสมควร จริงเท็จอย่างไรไม่รู้ เพราะว่าได้ยินเขาพูดมาอีกที แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร สำคัญแต่ว่าขอให้มีที่พักก็แล้วกัน

ผมและคุณหวานเข้าห้องพักแล้วคุณหวานก็เปิดกระเป๋า เอาเสื้อผ้าออกมาแขวนไว้ที่ไม้แขวน เสร็จแล้วก็นั่งพักกันประเดี๋ยวเพื่อรอเวลาจะออกไปทานข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรมในเวลา 6 โมงเย็น ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้เวลาแล้ว

ที่ผมและคุณหวานยอมทนเหนียวตัวและยังไม่อาบน้ำนั้น ก็เพราะว่า อีกไม่นานก็ต้องออกไปกินข้าว และก็จะเลยขึ้นไปบนพระธาตุด้วย ก็คงจะร้อนเหงื่อออกอีก ก็เลยคิดจะรวบรัดมาอาบน้ำตอนที่เสร็จภารกิจแล้ว และเข้านอนเลยนะครับ

นั่งพักผ่อนในห้องสักครู่หนึ่งรอเวลาที่จะลงไปรับประทานอาหารเย็น  เมื่อใกล้เวลาแล้วผมกับคุณหวานเตรียมจะออกจากห้อง พอดีได้ยินเสียงเพื่อนที่มาด้วยกันมาเรียกที่หน้าห้อง พวกเราจึงออกจากห้องแล้วมายืนอยู่ตรงระเบียงหน้าห้อง

เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดีพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหน
เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี

หยุดยืนมองวิวทิวทัศน์ที่หน้าห้องเสียหน่อยหนึ่ง มองเห็นบ้านเรือนที่ปลูกตามทิวเขาสวยงามมาก จึงถ่ายรูปเอาไว้นิดหน่อยก่อน กะว่าพรุ่งนี้เช้าจะถ่ายรูปเอาไว้ดูเล่นใหม่อีกครั้ง เพราะว่าบรรยากาศในตอนเช้าๆน่าจะสวยงามกว่าในตอนจะค่ำแล้วอย่างเวลานี้เป็นแน่

พอไปถึงห้องอาหารพนักงานของเขาก็เชิญให้ไปที่ดาดฟ้าของโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน วันนี้ทางโรงแรมจัดที่กินอาหารเป็นพิเศษ โดยตั้งโต๊ะอาหารโดยเอาโต๊ะมาต่อๆหลายๆตัว ให้ยาวพอที่จะให้คนนั่งได้ 26 คน

และตอนนี้ที่โต๊ะที่ต่อกันยาวนี้มีอาหารออกมาตั้งเรียงรายแล้ว มีคนหลายคนที่มากับกลุ่มของเรามานั่งรอกันอยู่หลายคน

ไกด์ของเราสองคนคือนายซายซาย และคุณปอร์ ยืนต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว อาหารในวันนี้ดูแล้วก็เหมือนหรือคล้ายๆกับอาหารตามร้านอาหารใหญ่ๆของเมืองพม่าที่พวกเราได้ไปกินมาแล้ว

เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี
เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี

ที่มีทุกที่คือ ไข่เจียวและผัดผัก มีกุ้งตัวใหญ่ๆเผา ใส่จานมาด้วย เรื่องกุ้งนี้เขาบอกมาเลยว่า ให้กินได้คนละ 1 ตัวเท่านั้น และถ้าอยากจะกินสองตัวหรือหลายตัวก็ต้องมีคนในกลุ่มสละสิทธิให้ครับ

เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี

รับประทานอาหารกันเป็นเวลานาน เพราะมื้อนี้ไม่ได้รีบร้อนอะไรแล้ว คนที่มาเที่ยวเดียวกับผมนี้คงมีคอเหล้าคอเบียร์กันหลายคน เห็นสั่งเหล้าเบียร์มากินด้วย 

ในกลุ่มของเขาซึ่งอยู่ทางหัวโต๊ะ กินกันไปคุยกันไปหัวเราะกันครื้นเครง ใครจะสั่งอะไรมากินก็ได้ตามความชอบ แต่อาหารที่สั่งมาเพิ่มนั้น ต้องเสียเงินเอง เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอะไรนะครับ เขามาเที่ยวกันทั้งทีเขาต้องมีเงินมามากอย่างพอเพียงแล้วครับ

ผมไม่ใช่คอเหล้าคอเบียร์ เมื่อกินกันอิ่มพอสมควรแล้วก็ลุกจากโต๊ะอาหารไป ผมพร้อมกับเพื่อนที่มาด้วยกันอีกสองสามคนชวนกัน ขึ้นไปไหว้พระธาตุกันอีกรอบหนึ่ง คราวนี้มีเวลามากหน่อยไม่ต้องรีบ เพราะว่าวันนี้เป็นรายการสุดท้ายแล้ว ก่อนที่จะเข้าที่พัก แล้วก็นอนกันยาวไปถึงเช้าเลย

ก่อนขึ้นไปบนลานพระธาตุ ก็ถอดรองเท้าเอาไว้ที่ห้องก่อนตามกฎ แล้วเดินเท้าเปล่าจากห้องพักไปที่สำนักงาน แล้วขึ้นบันไดคอนกรีตตรงใกล้ๆสำนักงาน ไปอีก 52 ขั้น ขึ้นไปโผล่ตรงป้ายของโรงแรมพอดี

เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี

ผมพร้อมกับเพื่อนอีกคู่หนึ่ง เดินขึ้นไปที่ลานพระธาตุ มองเห็นแสงไฟฟ้าส่องสว่างไปทั่วบริเวณ คนที่ลานพระธาตุมากมายเหลือคณานับ บ้างเดิน บ้างนั่งที่เสื่อ บ้างก็นอนกันตามสบาย

มีบางคนบอกผมตอนกำลังเดินทางมาว่า เขาอยากจะไปไหว้พระธาตุและอยากนั่งวิปัสสนาทั้งคืน ผมบอกว่าถ้าไหวก็เชิญตามสบายแล้วแต่ท่านก็แล้วกัน

ส่วนผมพร้อมกับพวก อยากมาไหว้พระธาตุสักสามครั้งตามแผนเท่านั้น ตั้งแต่ขึ้นเขามาครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่สอง แล้วก็จะเดินๆดูบรรยากาศเท่านั้น เสร็จแล้วก็จะกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม หลังจากที่ได้เหนื่อยและร้อนมาทั้งวันแล้ว

เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี
เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี
เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี

     ผมกับคุณหวานไปไหว้พระธาตุที่ก้อนหินใหญ่สีทองกันอีก ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันนั้นได้แยกไปไหว้ตรงที่อื่นๆ คุณหวานซื้อดอกไม้ธูปเทียน ทองแผ่นที่เรียกว่าทองเปลวมาเหมือนเมื่อตอนบ่าย แล้วก็ไปที่ใกล้ๆ หินพระธาตุที่เหลืองอร่ามท่ามกลางแสงไฟ สปอร์ตไลท์ ที่ฉายส่องไปที่ก้อนหินนั้น

     ในตอนกลางคืนอย่างนี้มีผู้คนมากราบไหว้มากเหลือเกิน ต้องเบียดกันเข้าไปจุดเทียนจุดธูป วางดอกไม้ในที่วาง อากาศเริ่มเย็นลงแล้วมีลมโชยมาเป็นระยะ แรงบ้างเบาบ้าง เพราะว่าอยู่บนยอดเขา แม้ว่าจะไม่สูงเหมือนดอยอินท์นนท์บ้านเรา แต่อากาศก็เย็นพอสมควร ดังนั้นคนที่มาที่นี่มักจะมีคนบอกว่า ให้เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย

เที่ยวพระธาตุอืนทร์แขวน พักโรงแรมไหนดี

สำหรับผมไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมา จะมีก็แต่เสื้อเชิ้ตแขนยาวเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งถ้าหนาวจริงๆก็พอจะทนไหว เพราะว่ามาเพียงคืนเดียวเท่านั้นเอง

คุณหวานกับผมไหว้พระธาตุกันท่ามกลางลมพัดแรง จุดเทียนติดแล้วก็ดับ จุดอยู่หลายครั้งติดแล้วลมพัดดับ จนหมดปัญญาจึงปักเทียนไว้อย่างนั้นเอง

ยังเหลืออีกขั้นตอนหนึ่งคือ จะต้องเอาทองคำเปลว (เป็นแผ่น) ไปปิดที่ก้อนหินศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย แต่ผู้หญิงเขาไม่ให้เข้าไปปิดทองหรือไปทำอะไรที่ก้อนหินอย่างเด็ดขาด

     เขามีแผงกั้นเป็นเหล็กลูกกรงทำเป็นรั้วกั้นอย่างแน่นหนาตลอดแนว ระหว่างพื้นกับก้อนหินสีทอง เพื่อกันคนจะตกลงไปซึ่งลึกมากพอสมควร แล้วตรงบันใดที่จะลงไปไหว้พระธาตุที่เป็นก้อนหิน เขาทำประตูสำหรับผ่านไปทีละคน มีชายฉกรรจ์หลายคนทำหน้าที่เฝ้าประตู และรักษาความปลอดภัยด้วย คุณหวานจึงฝากทองแผ่นให้ผมเข้าไปปิดทองให้ ผมจึงผ่านประตูเข้าไปคนเดียว เอาระฆังทองเหลืองลูกเล็กๆที่มีกระดิ่งเป็นใบโพธิ์ ที่ซื้อมากจากวัด เจดีย์ไจ๊ปุ่น (Kyaikpun Pagoda) ที่แวะมาตั้งแต่เมื่อเช้านี้

     เหตุที่ต้องซื้อระฆังทองเหลืองลูกเล็กๆที่มีกระดิ่งเป็นใบโพธิ์ แล้วอุตส่าห์หอบหิ้วกันขึ้นมาถึงบนนี้ ก็เพราะว่า มีคนบอกว่า ระฆังแบบนี้ข้างบนพระธาตุอินทร์แขวนก็มีขายเยอะแยะ แต่ราคาจะแพงกว่าที่นี่มาก  นี่เป็นเหตุผลข้อเดียวที่รีบซื้อมาจากที่อื่น ที่จริงแล้วผมว่าไม่จำเป็นต้องซื้อจากข้างล่างก็ได้นะครับ ซื้อลูกสองลูกมันจะแพงกว่ากันสักเท่าไรเชียว ดีกว่าที่จะหอบหิ้วขึ้นไปถึงข้างบน ตรงใบโพธิ์ที่เขาห้อยกับกระดิ่งก็คมมาก ผมจับไปจับมาโดนทิ่มหลายหนครับ

     ผมหาที่แขวนระฆังเล็กสองลูกแล้ว (เนื้อที่ไม่ค่อยมีให้แขวน มีระฆังเต็มไปหมด) ก็หมายตาว่าเราแขวนอยู่ตรงนี้ เพราะว่า ผมไปปิดทองแล้วก็จะกลับมาเอาระฆังของเรากลับไปแขวนที่บ้านลูกหนึ่ง (เขาบอกควรเอากลับไปแขวนที่บ้านเพื่อเป็นศิริมงคล) ผมหาที่แขวนระฆังได้แล้ว ก็เดินไปใกล้ๆก้อนหินสีทองขนาดใหญ่นั้น ที่นี่ลมแรงผมพยายามเอาทองแผ่นมาปิด เป็นเพราะลมแรงแผ่นทองก็เบาบางมาก ดังนั้นบางแผ่นก็ปิดได้ บางแผ่นลมพัดเอาไปกินเสียฉิบ ผมพยายามปิดจนหมดซึ่งรวมทั้งของคุณหวานที่ฝากมาด้วย

     ผมว่าการทำบุญนั้นอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเรามีความตั้งใจจริงๆแล้ว อย่างเช่นปิดทองที่ก้อนหินนี้ แม้ว่าจะปิดไม่หมดทุกแผ่น ผมคิดว่าก็คงจะได้บุญเท่าๆกัน คงเหมือนกับการทำบุญทำทานด้วยเงินหรือสิ่งของ ทำมากทำน้อยแล้วแต่กำลังทรัพย์ กำลังศรัทธา ก็จะได้บุญเท่าๆกับคนที่ทำมากๆนั่นแหละครับ (ได้ยินเขาว่ามา) อย่าคิดอะไรมากเลยครับ เรื่องบุญเรื่องบาป ปลงๆไปเสียมั่ง อย่าคิดอะไรมากแล้วจะสบายใจครับ (จึงมีคนบอกว่า “เอาที่สบายใจก็แล้วกัน” )

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

share now2

 

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

พระธาตุอินทร์แขวนตอนบ่ายจะไม่มีคนมากนัก เพราะพื้นกระเบื้องยังร้อนอยู่ 

นายซายซายบอกว่า จากจุดนี้ (ที่พวกผมลงจากรถ) เราจะพากันเดินหิ้วสัมภาระของเราที่นำมาด้วยไปอีกไม่ไกลมากนัก น่าจะสักประมาณ 1 กิโลเมตรเห็นจะได้ แต่ทางเดินนั้นก็เดินสะดวก แม้ว่าถนนจะสูงๆต่ำๆเพราะว่าเขาเทคอนกรีตไว้ตลอดทาง กว้างบ้างแคบบ้าง มีบ้านเรือน ร้านค้าขายอาหาร ขายของใช้ ของป่า

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

ตามข้างถนนก็มีชาวบ้านมาขายของกินจำพวกไก่ทอด มันต้มตลอดเส้นทาง โดยเหตุที่พื้นที่เป็นเขา ถนนจึงลาดลงลาดขึ้นสูงๆต่ำๆ เดินกันไปคุยกันไปไม่นานนักก็ถึงที่หมาย แต่ก็เล่นเอาคณะทัวร์ของเราหอบไปเหมือนกันกว่าจะมาถึงเชิงบันไดที่จะต้องถอดรองเท้าเดิน เพราะว่าตรงนั้นเป็นประตูทางขึ้นไปที่ลานใหญ่ของพระธาตุ

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

ผมลืมเล่าไปอย่างหนึ่งคือ เมื่อลงจากรถแล้ว เดินมาได้หน่อยจะมีจุดที่บริการนั่งเสลี่ยงไป สำหรับคนที่อยากนั่งหรือเดินไม่ไหว ตรงนี้จะมีคนหามเสลี่ยงเรียกลูกค้าอยู่ ถ้าจะลองนั่งดูหรือเดินไม่ไหวจริงๆ ก็แวะเข้าไปติดต่อตกลงราคากับเขาได้ เท่าที่ผมทราบค่านั่งเสลี่ยงนี้ราคาประมาณ 24,000 จ๊าด หรือประมาณ 800 บ.ถ้าขึ้นจากต้นทางที่เขาให้บริการนะครับ และผมเข้าใจเอาเองว่าราคานี้เป็นราคาไป – กลับเขาจะหามท่านถึงบันใดที่มีประตูใหญ่ทางขึ้นพระธาตุเท่านั้นนะครับ

แต่การนั่งเสลี่ยง โดยมีคนแบกหามถึง 4 คนนั้น จะมีปัญหาบ้างเล็กๆน้อยๆ จากคนหามเสลี่ยงเอง จะยกตัวอย่างมาสักปัญหาหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นกับคนที่ไปด้วยกับผม หรือว่าอาจจะเกิดกับหลายๆคนที่เคยนั่งเสลี่ยงมาบ้างแล้ว

คือว่าระหว่างทางที่นั่งเสลี่ยง คนหามก็พยายามกวนใจเราให้เราซื้อน้ำอัดลมให้แบบกระป๋อง (ยี่ห้อไหนก็ได้มีขายหลายยี่ห้อ) โดยเขาบอกว่าหิวน้ำและเหนื่อยมาก แล้วเขาก็ทำท่าป้อแป้แบบหมดแรง ขอกินน้ำอัดลมสักกระป๋องเถอะ (พวกนี้พูดไทยได้พอสื่อสารรู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเคยเข้ามาทำงานที่ไทย สักปีสองปีหรือเปล่า )

ถ้าเราไม่ซื้อให้เขาทั้ง 4 คน ก็จะงอแง แกล้งเดินแบบเหวี่ยงๆให้หวาดเสียวเล่น แต่พอเราซื้อให้ก็ต้องซื้อให้ทั้ง 4 คน น้ำอัดลมราคาประมาณกระป๋องละ 1,000 จ๊าด หรือประมาณ 30 บาท ต้องควักเงินไปซื้อ 4 กระป๋อง (อัตราแลกเงินไม่แน่นอนจึงประมาณเอา )

แต่ที่จริงพวกเขาไม่ได้ดื่มหรอกครับ เขาเก็บซ่อนเอาไว้ไม่ให้เราเห็น แล้วก็จะเอามาแลกคืนที่ร้านค้าที่เขาซื้อนั่นแหละ เราก็ว่าอะไรเขาไม่ได้ เพราะว่าเราให้เงินเขาไปซื้อแล้วนี่ครับ แต่คิดไปอีกทีเขาไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ พอเขาหามเราเรียบร้อยแล้วเราก็ต้องให้ทิปเขาอยู่ดี บางทีอาจจะให้มากกว่าค่าน้ำดื่มอัดลม 4 กระป๋องก็ได้

แต่ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก พวกนี้จะงี่เง่าพอสมควร พอขึ้นไปถึงข้างบนก็จะขอทิปอีกแม้ว่าเราจะซื้อน้ำอัดลมให้เขาแล้ว ถ้าไม่ให้ก็ไม่ยอมไปแบบว่าต้องเอาให้ได้ ตื้ออยู่นั่นแหละ จนเราทนรำคาญไม่ได้ก็ต้องควักให้ไปอีก คนละ 1000 จ๊าด เป็นค่าทิป ก็ยังดีไม่มากเท่าไร 1000 จ๊าด ก็ 30 บาท สี่คนก็ร้อยกว่าบาทเท่านั้นเองตัดปัญหาไป ดีกว่าที่มาเที่ยวแล้วมามีเรื่องกับคนท้องถิ่น ก็ไม่สนุกแล้วละครับ 

แต่มีคนบอกเคล็ดให้ที่จะจัดการเรื่องอย่างนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่พวกนี้จะกลัวไกด์ หรือหัวหน้าทัวร์ ถ้าเรามีปัญหาอะไรเรารีบบอกเล่าให้หัวหน้าทัวร์หรือไกด์ของเราทราบ เขาจะจัดการให้เราเอง บางทีถ้าเราไม่ได้บอก เขาเห็นเองเขาจะเข้าไปถาม เรื่องซื้อน้ำหรือเรื่องทิป

พวกที่รับจ้างหามเสลี่ยงนี้เขาจะตอบว่า ลูกค้าซื้อให้เขาเอง ลูกค้าให้ทิปเขาเองเพราะว่าเห็นเขาเหนื่อยมาก เขาไม่ได้เรียกร้องอะไร พอขากลับ เขาก็จะขอทิปเราอีกครั้งเหมือนเดิม เรียกว่าขอกันทั้งขาขึ้นขาล่องเลยทีเดียว นี่แหละคือส่วนเล็กน้อยที่มีบนพระธาตุอินทร์แขวน ที่ผมพบมา รับรู้แล้วถ้าท่านได้ไปเที่ยวก็ไม่ต้องเครียดอะไรเลยนะครับ มาเล่าสู่กันฟังเท่าที่ผมได้เห็นมาครับ

ที่ผมเล่ามาตั้งแต่ตอนแรกๆนั้นผมยังไม่ได้กล่าวถึงพวกขอทานเลย เพราะว่าไม่อยากยุ่ง ที่พม่านี้แหล่งท่องเที่ยวทุกแห่งจะมีขอทานมากที่สุด พอเราลงจากรถที่สถานท่องเที่ยวแห่งใดแห่งหนึ่ง พวกขอทานก็จะกรูกันเข้ามา มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่บางคนก็อุ้มลูกน้อยตัวแดงๆมาด้วย เพื่อให้นักท่องเที่ยวเวทนา ถ้าคุณสงสารจะทำทานก็ตามใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่เราก็ต้องลำบากใจมากที่เราให้ทานคนหนึ่งแล้ว ขอทานคนอื่นๆก็จะกรูกันเข้ามาอีกเป็นสิบ ซึ่งก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ

ที่บนพระธาตุอินทร์แขวนนี้ก็มีเยอะครับ ก็ต้องทำใจแข็งไม่ต้องให้ทานเขา แล้วคนอื่นๆก็จะไม่เข้ามาขอ เรื่องขอทานที่พม่าจึงเอาพูดเพียงเท่านี้นะครับ

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

คนที่นั่งเสลี่ยงคนหนึ่ง (ตามภาพ) ซึ่งเดินทางไปเที่ยวเดียวกับผมนั้น พูดกับผมและคนอื่นๆหลังจากลงจากเสลี่ยงแล้ว ว่า

"โธ่ผมนี่โง่จริงๆ ระยะทางไม่ไกลมากเลย ไอ้เราก็ไม่รู้คิดว่าไกลเสียเงินเปล่าๆ รู้งี้เดินดีกว่า " แล้วก็หัวเราะดังลั่น เพื่อนคนนี้แกไม่ได้ขึ้นนั่งเสลี่ยงตั้งแต่ต้นทางนะครับ มาขึ้นเอาเมื่อเกือบจะถึงแล้ว

แต่คิดไปแล้วก็ดีแล้วที่แกนั่งเสลี่ยงไป มิฉะนั้นแกอาจจะขึ้นไม่ถึง และอาจจะเป็นลมพับตรงนั้นก่อนก็ได้ เพราะว่าแกอ้วนมากและดูแกเหนื่อยมากแล้วด้วย ผมคำนวณว่า น้ำหนักของแกคงเกิน 100 กก.อย่างแน่นอน

เส้นทางเดินเท้าสู่พระธาตุอินทร์แขวนเมื่อลงจากรถที่ขนส่งพวกเรามาถึง เป็นถนนแบบคอนกรีตกว้างบ้างแคบบ้าง แต่ก็เดินแบบสบายๆ ถนนก็สูงๆต่ำๆ พอเราเหนื่อยเราก็หยุดเป็นช่วงๆ สองข้างทางก็จะผ่านบ้านชาวบ้าน และร้านค้าขายของต่างๆโดยมากจะเป็นของกิน ของใช้ ของป่า และของพื้นเมือง เช่นสมุนไพรต่างๆเป็นต้น

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า 

และช่วงสุดท้ายก็จะเดิน โดยผ่านบ้านชาวบ้าน ระยะทางประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงเชิงบันไดครับ

เมื่อถึงที่ตรงนี้ คือตรงประตูเมืองของเขา (ว่างั้นเถอะ) ทุกคนต้องถอดรองเท้าแล้วครับ สำหรับกรุ๊ปทัวร์ของผมนี้ ถ้าจะต้องต่างคนต่างหิ้วรองเท้าด้วยก็จะดูเกะกะ พิลึก เพราะว่าจะต้องเดินฝ่าฝูงชนไปอีกไกล และถ้าใครอยากไหว้พระธาตุเป็นรอบแรก ก็ต้องถือรองเท้าเอาไว้ตลอด จนกว่าจะเข้าโรงแรมที่พักนั่นแหละ

แล้วก็คิดดูนะ นอกจากจะหิ้วกระเป๋าและของพะรุงพะรังแล้ว ก็ยังต้องหิ้วรองเท้าอีก แล้วก็เดินเท้าเปล่า คนที่ไม่ค่อยได้เดินเท้าเปล่าจะเจ็บจะตายไป ระยะทางก็ไกลด้วย

เป็นหน้าที่ของไกด์อีกนั่นแหละ นายซายซาย มองดูพวกเราแล้ว เห็นท่าจะไม่ไหว ก็เลยขอปลีกตัวไปหาคนขนรองเท้าคนหนึ่งมาให้ (สงสัยจะเป็นคนของโรงแรม) ซึ่งเป็นผู้หญิงอายุยังไม่มากเท่าไร แกหิ้วตะกร้าใบใหญ่มีหูที่ขอบสองข้างมาด้วย ที่ต้องใหญ่หน่อย ก็เพราะว่ามีรองเท้าที่จะต้องใส่ลงไปตั้ง 26 คู่มันน้อยอยู่เมื่อไรล่ะครับคุณนาย

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

อาคารทางด้านซ้ายมือในรูป คืดอาคารที่พระนาง ชเวนันจิน สถิตย์อยู่ และคนแบกรองเท้าเอารองเท้าล่วงหน้าไปก่อน

ผมจะเล่าย้อนมานิด ก่อนที่จะขึ้นไปถึงองค์พระธาตุนั้น  จะมีอาคารให้เข้าไปไหว้สองจุดคือ ทางด้านขวา เป็นองค์พระธาตุจำลองเเละมีรอยพระพุทธบาทจำลองในนั้นอีกด้วย

ที่ตรงนี้ (อาคารด้านขวามือ) จะมีผู้คนนิยมเอาธนบัตรมาลอยน้ำ เเล้ว อธิษฐาน ว่ากันว่าถ้าขอบธนบัตรถูกน้ำแล้วม้วนงอเข้าหากัน แสดงว่าคำอธิษฐานนั้นใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าธนบัตรยังอยู่เฉยๆก็แสดงว่ายังไม่ได้ผลที่อธิษฐานเอาไว้ จริงหรือเปล่าก็คิดดูเอานะครับ

ส่วนอาคารทางซ้าย คือ อาคารที่มีรูปปั้นของพระนางชเวนันจิน อยู่ข้างในนั้น ซึ่งพระนางชเวนันจินนี้ เป็นส่วนหนึ่งในตำนานของพระธาตุอินทร์แขวนด้วย

มีความเชื่อกันว่าหากเจ็บป่วยตรงส่วนไหนของร่างกาย เวลาไหว้พระนางก็ให้จับ บีบ นวดรูปปั้นพระนางตรงส่วนที่เจ็บป่วย แล้วตั้งจิตอธิษฐาน และมาจับร่างกายของเราตรงที่เจ็บป่วยก็จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์

ทางฝั่งทางขวานั้น ที่บอกแล้วว่ามีรอยพระพุทธบาทจำลองและองค์พระธาตุจำลอง ขณะที่ผมเดินมาถึงที่ตรงนี้เห็นมีคนเข้าไปกราบไหว้เหมือนกัน แต่หลายๆคนจะแวะเข้าไปที่อาคารด้านซ้ายมือเสียเป็นส่วนมาก

ข้างในอาคารด้านซ้ายมือนั้น เป็นห้องไม่กว้างขวางนัก มีสิ่งของเกี่ยวกับการบูชาเต็มแน่นไปหมด เขาทำหุ่นเป็นรูปคนผู้หญิงหน้าตาสวย นอนหงายอยู่ แต่งหน้าแต่งตา นุ่งห่มสวยงาม แล้วก็มีรูปปั้นเป็นผู้ชายใส่เสื้อผ้าหลากสี ที่ศรีษะโพกผ้าไว้ด้วยผ้าสี ลักษณะเหมือนกับผู้ที่มาดูแลคนป่วยยังไงยังงั้น นั่งอยู่ข้างๆ แล้วก็มีหุ่นอื่นๆอีกอยู่ข้างๆกัน ไม่รู้ว่าเป็นเทพเจ้าหรือว่า “นัต” ตนไหนก็ไม่รู้

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่าพระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

ตามร่างกายของผู้หญิงที่นอนห่มผ้าสีชมพูที่เรียกกันว่า พระนางชเวนันจิน จะเห็นมีเงินต่างๆเป็นธนบัตร ใบละ 1,000 บ้าง ใบละ 500 ใบละ 100 ก็มี( เงินจั๊ด ของพม่า) บ้าง และราคาอื่นๆอีกมากมายที่วางปะลงไปบนร่างของพระนาง นั่นคือการกราบไหว้ขอพรอธิษฐาน ให้พระนางช่วยรักษาอาการป่วยต่างๆของร่างกายให้หายจากการเจ็บป่วย

คนที่มาขอพรเจ็บป่วยตรงไหน ขัดยอกอย่างไร ก็เอาธนบัตรราคาเท่าไรก็ได้ มาวางไว้บนพระนางตรงนั้น แล้วกดเบาๆเหมือนจะบีบนวด เท่านี้แหละครับ ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่าจะได้ผลสมดังความประสงค์หรือเปล่า

เมื่อเสร็จจากตรงนี้แล้ว ผมและคุณหวานก็เดินออกมาจากอาคารพระนาง ชเวนันจิน (มีตำนานเล่าเรื่องความเป็นมาของพระนางชเวนันจินนี้มากมาย ต้องเปิดกูเกิล ดูเอาครับ)

 เมื่อเดินออกมาแล้วผมถามคุณหวานแม่บ้านของผมว่า

 " คุณเอาแบ๊งค์แปะหัวเข่าเจ้าแม่หรือเปล่า เพราะว่าหัวเข่าของคุณไม่ค่อยดีมานานแล้วนี่"

 "แปะเล้วค่ะ "

 "แล้วดีขึ้นไม๊ " ผมถามอีก

 "ยังหรอกตอนนี้เหมือนเดิม เจ้าแม่ที่ไหนจะมาทำให้เราดีขึ้นรวดเร็วขนาดน๊านนนนนนน "

ออกจากอาคารหลังนี้แล้วเดินไปอีกหน่อย ทีนี้ก็จะเข้าประตูใหญ่ของพระธาตุอินทร์แขวนจริงๆแล้ว นับจากนี้ไปก็ต้องถอดรองเท้า เดินด้วยเท้าเปล่ากันแล้วละครับ ประตูใหญ่ มีสิงห์ตัวใหญ่เฝ้าข้างละตัว อยู่ข้างหน้านี้เองครับ

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า
พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

พวกเราเดินขึ้นบันใดมาร่วมกลุ่มกันที่หน้าประตูทางเข้าพระธาตุ กันอีกครั้งหนึ่ง เราทุกคนถอดรองเท้าที่ใส่มาให้กับคนที่มาเก็บรองเท้า ซึ่งเขาจะเอาไปไว้ที่ล๊อบบี้โรงแรมก่อน แล้วพวกเราก็จะตามไปเอาทีหลัง

ที่ตรงนี้เขามีที่กั้นเป็นช่องทางเดินเข้าได้ทีละคนเรียงแถวกันเข้าไป เขาทำเป็นเหล็กหมุนได้ เพื่อตรวจตั๋ว ซึ่งก่อนหน้านี้ไกด์ของเราได้ซื้อเตรียมเอาไว้ให้เราก่อนแล้ว เมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้ว

เมื่อเราเดินมาที่ลานพระธาตุอินทร์แขวนแล้วในตอนนี้ โดยที่ยังไม่ได้ไปถึงโรงแรมที่พัก ก็จะถือโอกาสตรงเข้าไปที่พระธาตุ ซึ่งมองเห็นไกลๆนั่น ซึ่งเรียกว่าเป็นการกราบไหว้พระธาตุรอบแรกเมื่อมาถึง

คนส่วนใหญ่ที่ได้มาเที่ยวที่นี่ก็หมายมั่นว่า กว่าจะกลับลงเขาไป จะต้องไหว้พระธาตุให้มากที่สุด บางคนที่มากับผมเที่ยวนี้กะว่า จะไหว้สัก 7 รอบสำหรับผมหรือคนอื่นๆบางคนนั้นไม่ได้โลภมากถึงขนาดนั้น ก็จะทำตามที่ไก๊ด์ ซายซาย บอก คือว่าจะมาไหว้เพียงสามรอบกำลังดี

รอบที่ 1 เพิ่งมาถึง ยังไม่ได้เข้าที่พักเลย ก็ถือโอกาสซื้อดอกไม้ธูปเทียน มาปิดทองหินก้อนโตที่มีพระธาตุอยู่บนนั้นก่อน

รอบที่ 2 เมื่อเราเข้าโรงแรมที่พักเรียบร้อยแล้ว ทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรมแล้ว ประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ ก็ขึ้นมาไหว้อีกหนึ่งรอบ (โรงแรมนี้อยู่ต่ำกว่า ลานพระธาตุมากพอสมควรแต่ก็ไกล้พระธาตุมากที่สุดกว่าโรงแรมอื่นๆ) รอบนี้ไม่ต้องรีบ เพราะบางคน อาจจะนั่งวิปัสนาอยู่ที่ลานพระธาตุทั้งคืนไม่ต้องหลับต้องนอนกันก็ได้

รอบที่ 3 ในตอนรุ่งเช้าขากลับ ออกจากที่พัก แล้วไปไหว้พระธาตุอีกครั้ง แล้วก็เดินทางกลับ

นี่แหละครับที่ผมคิดเอาไว้ ซึ่งคิดว่าพอสมควรแล้ว และน่าจะเป็นการลงตัวดี สำหรับเราที่มีเวลาไม่มากนัก

ขณะที่พวกผมมาถึงพระธาตุนั้นเวลาประมาณเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ที่่พื้นบริเวณลานกว้างยังอุ่นๆอยู่คือไม่ร้อนมากเหมือนตอนกลางวัน แต่ก็เรียกว่าพวกผมมาถึงเร็วพอสมควร ถึงอย่างไรก็มีคนมาก่อนหน้านี้แล้วเดินกันขวักไขว่ อยู่ที่บริเวณลานปูนซิเมนต์ที่กว้างขวาง

พระธาตุอินทร์แขวน เที่ยวพม่า

นายซายซาย ผู้เป็นไกด์ที่คอยดูแลพวกเราอยู่บอกว่า ในตอนแรกนี้จะให้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วมารวมตัวกันที่ เสาใหญ่ต้นหนึ่ง นายซายซาย ไกด์ ชี้ขึ้นไปที่ยอดเสา ซึ่งมี หงส์ อยู่บนยอดเสาตัวหนึ่งสังเกตได้ง่าย

เขาให้เวลาเราไม่มากนัก เพราะว่าทุกคนเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ก็ยังเดินชมสถานที่ เห็นยอดของพระธาตุอินแขวนเหลืองอร่าม เมื่อเดินชมสถานที่กันเสร็จแล้วเราจะไปที่พัก เพื่อเข้าพักผ่อน อาบน้ำ เปลี่ยนชุดใหม่ แล้ว 6 โมงเย็นไปพบกันที่ห้องอาหารของโรงแรม ตามที่นาย ซาย ซาย ไกด์ของเรานัดหมายเอาไว้

นายซาย ซาย นัดหมายในเวลา 6 โมงเย็น และเมื่อทุกคนเข้าใจกันดีแล้ว ก็แยกย้ายกันไป ตามแต่จะสะดวก ผมกับคุณหวานและคนที่ไปด้วยกันอีกสองคนก็เดินตามกันไปไหว้พระธาตุ เป็นรอบที่ 1 เป็นที่สำเร็จเรียบร้อย

อากาศชักจะเย็นลงทุกที และใกล้เวลาที่นัดหมาย  (เวลาพม่าช้ากว่าไทย 30 นาที) ทุกคนมาเจอกันที่เสาที่มีพญาหงส์ ตามที่ไกด์บอกไว้แต่แรก เมื่อทุกคนมารวมกลุ่มกันครบแล้ว ก็เดินตามไก๊ด์เป็นแถว เพื่อไปที่โรงแรมต่อไป.

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

share now2

พระธาตุอินทร์แขวน , ไจ๊ทีโย

     พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ๊ทีโย (Kyaikhtiyo) เป็นภาษามอญมีหมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี พระธาตุอินทร์แขวนตั้งอยู่ที่เมืองไจ๊โถ่ (Kyaikto) อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า

พระธาตุอินทร์แขวนตั้งอยู่บนยอดเขาพวงลวง เหนือระดับน้ำทะเล 3,615ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง5.5เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ

พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น1ใน5สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าและนักท่องเที่ยวต้องไปสักการะ และยังถือกันว่าเป็นพระธาตุประจำปีจอ ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต

พระธาตุอินทร์แขวน อยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้งประมาณ180กิโลเมตร โดยนั่งรถขึ้นไปทางเหนือไปสู่คินปุนเบสแคมป์ (KinpunBaseCamp) ใช้เวลาเดินทางจากหงสาวดีประมาณ4 - 5ชั่วโมง (ไม่แน่นอน) จากนั้นก็นั่งรถบรรทุกหกล้อเดินทางขึ้นสู่ภูเขาซึ่งบางตอนสูงชันและวกวน ใช้เวลานั่งรถบรรทุกอีกประมาณ 55 นาที

พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย

พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น1ใน5สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต

การเดินทางไปยังพระธาตุอินทร์แขวนประเทศพม่านั้น บางคนบางคณะจะไม่เหมือนกัน เมื่อสมัยก่อนที่ยังไม่มีถนนรถยนต์นั้นใช้การเดินเท้าขึ้นไป แต่ในปัจจุบันนี้เขามีรถบรรทุกขึ้นไปจนถึงใกล้พระธาตุเลยทีเดียว แต่เมื่อลงจากจุดที่รถบรรทุกจอดแล้ว ก็ยังเดินขึ้นไปอีกประมาณ 1 กม.หรือ กม.กว่าๆ จึงจะถึงบริเวณพระธาตุ  ผมก็จะเล่าถึงการเดินทางของผมก็แล้วกันครับ

ในตอนแรกคณะของผมตื่นกันแต่เช้าและออกจากโรงแรมที่พักในเมืองย่างกุ้ง แล้วก็ไปเมืองหงสาวดีไปที่เจดีย์ไจ๊ปุ่น แล้วก็ไปชมวังบุเรงนอง นอกจากนั้นก็ไปทำบุญใส่บาตรกันที่วัดไจ๊คะวาย ตามที่ผมเล่ามาแล้วในตอนก่อนๆ

กินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารในเมืองหงสาวดีเสร็จแล้ว จึงได้ออกเดินทางกันไปพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งใช้เวลาเดินทางยาวนาน นั่งรถกันจนเมื่อยหลับบ้างตื่นบ้างตลอดทาง ระหว่างที่รถวิ่งผ่านนั้น (การจราจรของเขาวิ่งชิดขวาครับ)บรรยากาศก็คล้ายๆบ้านเราคือมีแต่ทุ่งนา ผ่านแม่น้ำลำคลองบางแห่ง เขาก็มีชื่อเขียนป้ายไว้ แต่เป็นภาษาพม่าผมอ่านไม่ออกเลย

นานๆก็ผ่านชุมชนต่างๆสักทีหนึ่ง เห็นประชาชนของเขาทั้งหญิงและชายนุ่งผ้าถุงนุ่งโสร่งกันทั้งนั้นเลย ที่หน้าก็ประแป้งเสียขาวแทบทุกคน เรื่องพม่าประแป้งที่แก้มและหน้าผากเสียขาวนั้น มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่แป้ง แต่เป็นไม้สมุนไพรชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ทานาคา เอามาฝนกับหินเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเหมือนที่ลับมีด แล้วจึงออกมาเป็นคล้ายๆแป้ง

รถวิ่งไปเรื่อยๆเราก็หลับๆตื่นๆมาตลอดทาง เหลืออีกประมาณ 10 กม.จะถึง คินปุนเบสแค้ม ซึ่งเป็นที่พักรถ ไกด์บอกว่า ให้พวกเราจัดการลงไปยืดเส้นยืดสาย ไปทำธุระส่วนตัวกันให้เสร็จ ใครอยากกินหรืออยากซื้ออะไรก็ทำตามความพอใจเขามีขาย แต่ไกด์บอกอีกว่า ของกินเช่นน้ำดื่มนั้นไม่ต้องซื้อไปก็ได้ ข้างบนนั้นจะมีทุกอย่างอยู่แล้ว ซื้อจากตรงนี้ไปจะหนักเสียเปล่าๆ

พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย
พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย
พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย
พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย

สถานที่พักรถ ซึ่งอีก 10 กม.ก็จะถึงที่เปลี่ยนรถแล้ว เขาหยุดตรงนี้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ยืดเส้นสาย เข้าห้องน้ำทำธุระ และตรงนี้มีร้านอาหารด้วย ถ้าใครหิวก็กินกันที่ตรงนี้

เมื่อเสร็จจากการทำธุระตรงที่พักรถซึ่งเขาให้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว จึงขึ้นรถเดินทางต่อจากตรงที่พักรถไปอีกประมาณ 10 กม.รถวิ่งประเดี๋ยวเดียวก็จะถึงจุดที่จะถ่ายคนลง ซึ่งเป็นชุมชนเป็นตลาดแห่งหนึ่งเป็นที่จอดรถที่จะขึ้นเขาพวกเราลงจากรถแล้วก็เอาสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้ในระหว่างอยู่บนเขาหนึ่งคืน

ก่อนที่จะมานี้ไกด์ของเราได้แนะนำแล้วว่า ให้เอาของที่จำเป็นแยกจากกระเป๋าใหญ่ เอามาใส่กระเป๋าเล็กๆซึ่งหิ้วหรือถือสะดวกเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นไปด้วย

ทุกคนปฏิบัติตามเสร็จแล้วจับกลุ่มรอเพื่อขึ้นรถหกล้อขึ้นเขาต่อไป การขึ้นเขานี้รถอื่นๆจะขึ้นไม่ได้ มีแต่รถหกล้อของเขาเท่านั้น ซึ่งคนขับรถจะต้องมีความชำนาญเป็นพิเศษจริงๆจึงจะปลอดภัย และเขาจะรับคนอย่างมากไม่เกิน 40 คนเท่านั้นต่อเที่ยว

รถหกล้อที่รับคนขึ้นเขานั้นส่วนใหญ่ก็เป็นรถที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น เหมือนๆกับที่เคยเห็นที่บ้านเรา ก็คือรถหกล้อธรรมดาที่บรรทุกของนั่นเอง เป็นรถที่ค่อนข้างจะใหม่ แต่ก็มีที่จะต้องดูแลปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ไปเสียหรือเครื่องดับตามทาง

รถบรรทุกนี้เขามาดัดแปลงเป็นรถให้คนนั่ง โดยการทำที่นั่งซึ่งทำด้วยเหล็กบุด้วยพลาสติก เป็นแถวๆ นั่งได้แถวละ 6 คน มีราวเหล็กชุบโครเมี่ยมและแข็งแรงเอาไว้ให้ผู้โดยสารจับเอาไว้ เพราะรถจะขึ้นเขา เหวี่ยงซ้ายขวาอยู่เสมอ โดยปกติเขาจะรับเต็มที่ก็ไม่เกิน 40 คนเท่านั้น แต่รถคันที่ผมนั่งขึ้นเขานี้เป็นรถที่ไกด์ได้ติดต่อขอเหมาเอาไว้ จึงมีคนเพียง 26 คนซึ่งรวมทั้งไกด์ด้วยแล้วไม่มีคนอื่นๆปนจึงไม่แออัดเท่าไร

พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย

การขึ้นไปบนรถนั้นเขามีบันไดเหล็กมาเทียบแล้วเดินขึ้นไปหาที่นั่งตามใจชอบ

พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย
พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย
พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย
พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย

เส้นทางที่ขึ้นเขาตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจาก คินปูนเบสแค๊มป์ ก็เริ่มสูงชันและคดเคี้ยว หักข้อศอกบ้างเป็นบางตอน  คณะของเราร้องกันลั่น กรี๊ดกร๊าดกันด้วยความหวาดเสียวท่ามกลางทิวมัศน์ที่สวยงาม

ระยะเวลาในการขึ้นเขานี้ใช้เวลาประมาณ ๕๕ นาที (ไม่แน่นอน) ซึ่งเป็นระยะเวลาแห่งการตื่นเต้นที่สุด ไม่รู้ว่าจะมีใครคนไหนฉี่ราดบ้างหรือเปล่าเขาก็ไม่บอกเสียด้วยซีครับ

ในระหว่างเดินทางขึ้นเขานี้ จะมีที่พักรถและจะมีคนมาขอรับบริจาค เพื่อจะเอาเงินไปทำอะไร หรือไปทำบุญที่ไหนก็ฟังภาษาของเขาไม่ออก ตลอดทาง

มีคนบอกว่าเมื่อสมัยก่อนย้อนหลังไปประมาณ 5-6 ปี การเดินทางขึ้นเขานี้ จากจุดที่จอดรถเปลี่ยนรถ ยังไม่มีทางรถยนต์ขึ้นข้างบน แต่จะมีทางเดินเท้าเพื่อเดินทางด้วยเท้าขึ้นไปยังยอดเขา คนที่จะขึ้นไปจะต้องเดินขึ้นไป ทำให้ลำบากและเหนื่อยมาก ตอนที่มีถนนอย่างในปัจจุบันนี้จึงขึ้นได้สะดวก พอถึงจุดที่รถจอดแล้วก็เดินไปอีกไม่มากนักก็จะถึงลานพระธาตุแล้ว

พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย

ระหว่างเดินทางขึ้นเขา มีรถสวนลงมาจากเขาบ้าง และมีรถจอดพักตามเส้นทางบ้างเป็นระยะ

พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย

ไกด์ของเราสองคนคือนายซาย ซาย และคุณโบว์ มานั่งคุมการเดินทางข้างท้ายรถครับ

รถหกล้อกระบะ ที่ดัดแปลงให้มีที่นั่งที่กระบะรถ วิ่งขึ้นเขาด้วยความชำนาญ ผมและคนอื่นๆคงมีความรู้สึกเดียวกันว่าหูอื้อๆเพราะว่าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เส้นทางก็ขึ้นๆลงๆ โค้งหักศอก เลี้ยวกระทัน เกือบชั่วโมงต่อมาก็ขึ้นถึงยอดเขา ซึ่งเป็นลานกว้าง เป็นท่าจอดรถซึ่งเป็นสถานที่กว้างขวาง และพวกเราก็ค่อยๆทยอยลงจากรถสูดอากาศหายใจอย่างแรง ด้วยความโล่งอก

ข้างบนเขาซึ่งเป็นที่จอดรถหรือจะเรียกว่าท่ารถก็ได้นี้เป็นที่โล่งกว้างขวาง มีผู้คนต่างชาติต่างภาษาซึ่งขึ้นมาถึงก่อนแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นชาวพม่าเสียมากกว่า เดินกันขวักไขว่ตะโกนเรียกหากันเสียงดังลั่น

พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย

ลงจากรถหกล้อที่ลานจอดรถแล้ว ก็รวมกลุ่มกันเดินทางด้วยเท้าไปอีกไกลพอสมควร

เมื่อรถกระบะที่บรรทุกพวกเรา26คน (รวมทั้งไกด์ทั้งสองคนด้วย)ขึ้นมาถึงที่จอดรถบนเขาเรียบร้อยแล้ว ก็จอดเทียบบันไดที่มีโครงเหล็กเหมือนกับนั่งร้าน เพื่อให้พวกเราก้าวลงสะดวกๆหน่อย ต่างคนต่างก็รีบลงแบบแย่งกันลง เพราะอยากลงจากรถเต็มทีแล้ว นั่งสั่นอยู่บนรถตั้งนานแน่ะ

ลงจากกระบะรถบรรทุุกเรียบร้อย พร้อมทั้งถือสัมภาระที่ติดตัวมาเช่นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็กๆที่แยกมาจากกระเป๋าใบใหญ่แล้ว ไก๊ด์ก็ถือด้ามธงซึ่งมีธงสีเขียวๆผืนเล็กๆ อยู่ที่ปลายด้าม ยกชูสูงๆเพื่อให้บรรดาสาวกของแกได้เห็น ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ เดินมาทางนี้ อะไรแบบนั้นละ

(เคยเห็นหรือเปล่าครับ โดยมากมักจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเที่ยวไทยเป็นกลุ่มๆ ไกด์หรือผู้นำการท่องเที่ยวเขาจะมีธง สีอะไรก็ได้ โดยมากเป็นสีเดียว เดินนำ แล้วลูกทัวร์ก็จะเดินตามเป็นฝูง) เมื่อลงจากรถแล้ว นายซายซาย ก็เรียกลูกทัวร์ด้วยปากเปล่า (ไม่มีโทรโข่ง) ท่ามกลางเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ ของคณะทัวร์อื่นๆที่เที่ยวที่นี่ด้วยเหมือนกัน

พวกเราได้ยินแล้วเดินมารวมกลุ่มทันทีเพื่อมาฟังไกด์ของเราจะมีเรื่องอะไรบอกมั่ง ไกด์ ซายซาย เริ่มบอกเรื่องต่างๆที่ควรระวังและสิ่งที่ควรจะปฏิบัติเมื่ออยู่ที่นี่

 และจะต้องเดินจากตรงลานจอดรถนี้ต่อไปอีกไกลแค่ไหนจึงจะถึงบริเวณที่ตั้งของพระธาตุ แล้วโรงแรมที่พักของเราในคืนนี้อยู่ตรงไหน  แล้วก็เรื่องอะไรอีกเยอะแยะ แต่ที่สำคัญที่ไกด์บอกก็คือ ถ้าถึงปริมณฑลของพระธาตุอินทร์แขวนเมื่อไร ต้องถอดรองเท้าเดินทันที เหมือนที่เคยบอกมาแล้ว

พระธาตุอินทร์แขวน ไจ๊ทีโย

เมื่อตอนที่พวกผมมาถึงพม่าในตอนแรกๆนั้น นายซายซาย เคยบอกไว้หนหนึ่งแล้วว่า ที่พม่านี้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ วัดวาอารามต่างๆ จะต้องถอดรองเท้าทุกที่ ไม่มียกเว้นว่าจะเป็นคนใหญ่ คนดังมาจากไหน และตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น ยังมีข้อห้ามสำหรับสุภาพสตรีอีก แต่ไม่ต้องพูดถึงนะครับ เอาเรื่องถอดรองเท้าก็เแล้วกันครับ

ไกด์ ซายซาย เป็นคนละเอียด มีความรู้มาก อารมณ์ดี เอาใจใส่ต่อลูกทัวร์ทุกกระเบียดนิ้วมีอะไรที่ลูกทัวร์สงสัย อยากรู้ก็ถามแกได้ทุกเวลา นายซายซายก็จะบอกและเล่าให้ฟังอย่างละเอียด

ผมชอบแกมากที่สุด เมื่อวันขากลับจากย่างกุ้งกลับเมืองไทย นายซายซาย มาส่งพวกเราที่สนามบิน "มิงกาลาดง" ที่ย่างกุ้ง ตอนนั้นค่ำแล้ว ผมแอบให้ทิปแกไป30,000.คุณรู้แล้วอย่าบอกใครนะ ผมไม่บอกใครร๊อก ก็เพิ่งจะบอกคุณเป็นคนแรกนี่แหละ รู้แล้วเหยียบเอาไว้ด้วย

อะไรนะครับ อ๋อ30,000จ๊าดน่ะครับ เป็นเงินพม่าครับ เงินสดๆเล๊ย เป็นเงินไทย1,000บาทเท่านั้นเองครับ อิ อิ เล่ามาตั้งนานแล้วไม่ถึงพระธาตุสักที ใกล้แล้วครับใจเย็นๆนะครับ

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

share now2

     ทัวร์ประเทศพม่า แทบทุกทัวร์ถ้ามีโปรแกรมเข้าไปที่เมืองหงสาวดี ก็มักจะบรรจุโปรแกรมไปที่วัดแห่งนี้ด้วย คือที่ วัดไจ๊คะวาย ที่วัดนี้ ไม่ใช่วัดที่มีชื่อในเรื่องของเจดีย์องค์เก่าแก่หรือองค์ใหญ่ๆ หรือพระพุทธรูปองค์โตสูงใหญ่นะครับ

     แต่วัดนี้มีชื่อเสียงและเป็นวัดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองหงสาวดี (ที่เมืองมัณฑะเลย์ก็มีวัดอย่างนี้ ใหญ่กว่านี้ พระมากกว่านี้) เพราะเป็นโรงเรียนที่สอนพระพุทธศาสนา เปรียญธรรมชั้นตรี โท และเอก อันโด่งดังของพม่า จึงมีคนส่งลูกหลานมาบวชเรียนธรรมะที่นี่กันเป็นจำนวนมากนับพันรูป

     ผู้ที่มาบวชเป็นพระที่นี่ต้องตั้งใจจริงๆที่จะมา ศึกษาหาความรู้ในทางพระพุทธศาสนา จะต้องอยู่ประจำที่นี่เลย ซึ่งเหมือนกับเป็นโรงเรียนกิน-นอน ต่างๆในบ้านเรา จึงเป็นวัดเดียวในเมืองหงสาที่ได้เห็นพระสงฆ์จำนวนมาก เขาว่าบางทีจะมีถึงเป็นพันรูป ที่วัดนี้จึงมีคนนิยมมาทำบุญใส่บาตรพระหมู่ เลี้ยงอาหารเพลกันเป็นประจำ โดยเฉพาะพวกที่มาทัวร์

     โดยการใส่บาตรพระวัดไจ๊คะวาย จะเป็นการใส่บาตรในช่วงก่อนเพล จะมีพระที่วัดนี้จำนวนมาก เมื่อตอนที่ผมไปนั้นมีพระน่าจะไม่เกิน 200 รูป  เดินเรียงแถวออกมาจากด้านหลัง เพื่อรับบิณฑบาต

     เฉพาะข้าวสวยที่เราจะนำเอามาใส่บาตรนี้ ทางวัดจะหุงข้าวใส่ถังใหญ่ ตั้งเอาไว้อยู่ตรงหน้าห้องฉันอาหาร พวกเราก็ไปตักเอาข้าวในถังใหญ่นั้น โดยการใช้จาน อลูมิเนียมเล็กๆที่เขาวางเอาไว้ที่ปากถังตักไป

     ส่วนการทำบุญให้กับวัดนั้น ทางคณะทัวร์ของเราได้รวบรวมเงินในคณะที่เดินทางมาด้วยกันที่มีจิตศรัทธา เพื่อเป็นทุนซื้อข้าวสารเป็นกระสอบ  หรืออาหารแห้ง อื่นๆ เพื่อให้ทางวัดนำไปหุงหาถวายพระต่อไป  ซึ่งข้าวสารที่มีผู้บริจาคเงินซื้อนั้น ก็คือข้าวสวยที่อยู่ในถังใหญ่ที่ตั้งเอาไว้นั่นเอง

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

นายซายซายไกด์ของเรา เป็นผู้บอกบุญให้ช่วยกันบริจาคเงินให้กับทางวัด 

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

คณะของเราที่ไปทัวร์ด้วยกัน ได้รวบรวมเงินรวมแล้วเป็นจำนวนมากพอจะซื้อขาวสารถวายให้วัด 1 กระสอบ โดยรองเจ้าอาวาสเป็นผู้รับไว้

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

กำลังรอตักข้าวในถังใหญ่ เจ้าหน้าที่บอกว่ารอให้พระออกมาเสียก่อนค่อยตัก ถ้าตักไปก่อนเป็นเวลานานๆแล้วข้าวที่ตักไปจะเย็นเสียหมด

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

คนที่มาใส่บาตรพระที่วัดนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ มีคณะทัวร์ต่างๆมาลงครับ

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

รอนานแล้วพระยังไม่ลง ก็ต้องหาที่นั่งๆพักก่อน คนซ้ายนั้นคือคุณโบว์ ผู้ช่วยไกด์ประจำคณะของเรา ซึ่งมาจากกรุงเทพฯด้วยกัน

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี
วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

ไกด์ของเราคือนายซายซาย ได้พบกับไกด์สตรีท่านหนึ่ง คงได้พบกันในที่ต่างๆบ่อยๆ เพราะว่าพวกไกด์จะทำหน้าที่พาลูกทัวร์ไปเที่ยว วนเวียนอยู่ทุกวัน นายซายซายบอกว่า ไกด์สุภาพสตรีคนนี้เป็นไกด์คนพม่าของคณะที่มาจากเวียตนาม เพราะว่าพูดภาษาเวียตนามได้

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

ใกล้เพลแล้วพระก็เดินเรียงเป็นแถว พวกที่จะใส่บาตรก็เตรียมพร้อมถือจานข้าวคอยใส่ลงไปในบาตร แต่พระท่านไม่ค่อยเปิดฝาบาตรนะครับ เท่าที่เห็นจะเปิดบางครั้งไม่ได้เปิดตลอด หรือว่าข้าวจะเต็มบาตรมาจากต้นทางแล้ว

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

ทุกคนถือข้าวเพียงคนละจานเดียวเท่านั้น จึงพยายามใส่กันจนได้แหละครับ

ที่วัดนี้นอกจากมาทำบุญกันแล้ว ก็ไม่มีสิ่งต่างๆที่น่าสนใจอะไรอีก มาทำบุญใส่บาตรกันเสร็จแล้ว ไม่ได้รอให้พระฉันเสร็จก็ออกจากวัด ไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆวัด  ไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเมื่อ เสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราก็จะเดินทางไปยัง พระธาตุอินทร์แขวน กันต่อไป

วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี
วัดไจ๊คะวาย เมืองหงสาวดี

ที่ร้านอาหารก่อนจะเดินทางไปพระธาตุอินทร์แขวน

เสร็จจากรับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารแห่งนี้แล้ว ทุกคนจะต้องนั่งรถไปอีกหลายชั่วโมง ( 4 - 5 ชั่วโมง ) เพื่อไปที่ พระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งอยู่ในรัฐฉานของพม่าครับ 

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

share now2

 

มาเที่ยวพม่าเที่ยวนี้มีเวลาน้อยจริงๆ บริษัททัวร์เขาบรรจุโปรแกรมเอาไว้มากเกินไป คงเพื่อจะมีผลในทางการโฆษณาเท่านั้น พอมาเข้าจริงๆจึงได้เที่ยวดูแต่ละที่ด้วยเวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้น เพื่อจะให้ได้สถานที่เที่ยวครบตามจำนวนที่โฆษณาเอาไว้

ดังนั้นนักท่องเที่ยวบางคนที่เป็นคนชราหรือคนที่มีแรงน้อย ไม่เคยสัมบุกสัมบัน ก็มักจะไม่ค่อยลงจากรถในบางสถานที่เพราะว่าเหนื่อยแล้ว จึงได้แต่นั่งคอยอยู่แต่ในรถ ซึ่งเขาเปิดแอร์ในรถเอาไว้ตลอดเวลาอากาศเย็นสบายดี จึงเป็นที่น่าเสียดายนักที่มาพม่าทั้งทีได้เที่ยวไม่หมดทั้งโปรแกรมของเขา

เมื่อวานนี้เมื่อลงจากเครื่องบินก็ตะลุยเที่ยวกันไม่ได้หยุด จนกระทั่งมืดค่ำจึงไปสิ้นสุดในการท่องเที่ยวในวันแรกที่โรงแรมเรือเพื่อจะได้พักผ่อนกัน แบบนี้จะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่บุคคลนะครับ

เมื่อวานนี้ที่เที่ยวแต่ละแห่งที่เขาพาไปนั้นก็อยู่ในเมืองย่างกุ้งทั้งนั้น เที่ยวกันจนเหนื่อย อากาศที่เมืองพม่าก็ร้อนมากๆที่สุด ยิ่งตอนที่ผมและคณะไปนั้นเป็นเดือนเมษายนเสียด้วย ก็ร้อนหนักเข้าไปอีก

มาถึงวันนี้วันที่สองของโปรแกรมการเที่ยวพม่า เขาพาเรามาตั้งหลักที่เมืองหงสาตั้งแต่เช้า กินข้าวเช้ากันที่โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotelที่เมืองย่างกุ้ง แล้วก็ออกเดินทางมาที่เมืองหงสา ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองย่างกุ้งเพียง 28 กิโลเมตรเท่านั้น ถึงแล้วแวะเข้าไปที่วัดไจ๊ปุ่นกันก่อน

ออกจากวัดไจ๊ปุ่นแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการไม่เสียเวลา ไกด์บอกว่าต่อจากนี้ไปเราจะไปที่ พระราชวังบุเรงนองกัน

นั่งรถไม่เท่าไรก็ถึงแล้ว บางคนก็กำลังเคลิ้มๆเพราะว่าคงง่วงนอน โดยเฉพาะพวกหนุ่มๆบางคน เมื่อคืนคงนอนกันดึกแล้วก็คงโดนเบียร์ของพม่าเข้าไปคนละหลายๆขวด พอขึ้นรถมีแอร์เย็นๆจึงตาปรือลืมตาเกือบไม่ขึ้น

เข้าเขตพระราชวังบุเรงนอง ซึ่งเห็นมาแต่ไกลเมื่อมองมาจากรถ  ยังไม่ทันลงจากรถกันเลย ไกด์ซายซายบอกว่า ที่นี่คงไม่มีอะไรให้ดูมากมาย จึงให้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ให้เดินดูแล้วก็ถ่ายรูปกันเท่านั้น

ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี

 พระราชวังบุเรงนอง ซึ่งไม่ใช่ของเดิมแต่ขาได้สร้างขึ้นมาใหม่ทับตรงที่เคยเป็นพระราชวังเดิม

นักท่องเที่ยวคณะของเราก็ทยอยลงจากรถแล้วก็พากันเดินเข้าไปยังพระราชวัง ซึ่งรถที่เรานั่งกันมาจอดอยู่ไม่ไกลนัก

พระราชวังบุเรงนองนี้เท่าที่ผมได้เห็น และเรื่องบางอย่างที่รู้มามีไม่มากนัก จึงมาเล่าสู่กันฟังแบบเคร่าๆเท่านั้นนะครับ แต่ก่อนจะไปชมพระราชวังนั้น เรามารู้จักกับเจ้าของวังกันก่อนนะครับ

ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี

พระเจ้าบุเรงนอง องค์กลาง อีกสององค์ซ้ายขวานั้นคือมหาราชของพม่ารวมทั้งสามพระองค์ครับ

พระเจ้าบุเรงนอง หรือพระนามเต็มว่า พระเจ้าบุเรงนองกะยอดินนรธา   Bayinnaung Kyawhtin Nawrahta, ท่านประสูติเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2059 และสวรรคต เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2124 (มีอายุเพียง 65 ปี) เป็นพระมหากษัตริย์พม่าจากราชวงศ์ตองอู ทรงเสวยราชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2094 ถึงปี พ.ศ. 2124 (อยู่ในราชสมบัติ 30 ปี)

อาณาจักรของพระองค์ในสมัยนั้น เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีอาณาเขตแผ่ไปถึงอาณาจักรล้านนา อาณาจักรล้านช้าง รัฐมณีปุระ และอาณาจักรอยุธยา

พระองค์ถือเป็นหนึ่งในสามมหาราชพม่า คือพระเจ้าอโนรธามังช่อ แห่งราชวงศ์พุกาม และพระเจ้าอลองพญา แห่งราชวงศ์คองบอง ดังนั้นสถานที่หลายแห่งในพม่าปัจจุบันจึงตั้งชื่อตามพระนามพระมหากษัตริย์เหล่านี้อีกด้วย

พระเจ้าบุเรงนองนี้เป็นผู้สร้างเมืองหงสาวดีหลังจากที่ยึดได้จากพระมหากษัตริย์องค์ก่อน พระองค์ได้สร้างให้เมืองหงสาวดีเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก โดยพระองค์ได้สร้างพระราชวังบุเรงนอง ขึ้นใน ปี พ.ศ. 2109 เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการปกครอง และใช้ออกว่าราชการที่พระราชวังนี้ด้วย

ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี

แผนผังของวังบุเรงนอง เขาถ่ายรูปเห็นเสาของเก่า และกำลังจะเริ่มสร้างขึ้นมาใหม่

เมื่อพ.ศ. 2142 ในสมัย พระเจ้านันทบุเรง ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าบุเรงนอง ผู้ซึ่งสืบราชสมบัติต่อมา พระราชวังบุเรงนองแห่งนี้ได้ถูกทำลายด้วยฝีมือ ของพวกยะไข่ กับพวกตองอูเสียหายไปเกือบทั้งหมดเมื่อคราวเกิดสงครามกัน ทิ้งให้พระราชวังแห่งนี้รกร้างลงไป เป็นเวลานานร่วม 3 ศตวรรษ ซึ่งพระราชวังเดิมนั้นเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์เมื่อพระองค์ได้ถูกจับเป็นตัวประกันมาอยู่ที่หงสาวดี อีกทั้งสมเดจ็็จพระสุพรรณกัลยาก็เคยประทับที่พระราชวังแห่งนี้ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ที่นี่ โดยไม่ได้กลับไปกรุงศรีอยุธยาอีกเลย

ที่ผมกล่าวมานี้เป็นประวัติสั้นๆของพระเจ้าบุเรงนองกะยอดินนรธา ผู้ที่สร้างวังนี้นะครับ และข้อความอื่นๆที่เขียนมาได้รู้จากการบอกเล่าต่อๆกันมา ผิดถูกอย่างก็ขออภัยต่อท่านผู้รู้ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี

 ภายในท้องพระโรงที่สร้างขึ้นมาใหม่ เขาเอาเสาตอม่อไม้สักต้นใหญ่ๆที่ขุดขึ้นมา นำมาแสดงให้ชมด้วย

ต่อมาวังนี้ได้ถูกทิ้งให้รกร้างมาเกือบ 300 ปี บ้านเมืองเจริญขึ้นทำให้ที่ตรงนี้ถูกลืม จนมองไม่เห็นซาก ต่อมาจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2533 รัฐบาลพม่าจึงได้คิดรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ โดยให้นักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ได้เริ่มขุดค้นสถานที่แห่งนี้จึงได้พบซากของพระราชวังที่เหลือเพียงแค่ตอไม้ที่โผล่พ้นดินออกมาเท่านั้น และได้มีการเร่งสร้างพระราชวังจำลององค์ใหม่ขึ้นมา ฉาบด้วยสีทองทั้งหลัง

ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี

ไกด์ของเราคือนายซายซาย กำลังอธิบายเล่าเรื่องต่างๆให้คณะของเราได้รู้เรื่องเกี่ยวกับวังนี้ด้วย

ทั้งที่พื้นดินบริเวณโดยรอบได้ขุดพบโบราณวัตถุต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเชื่อว่ายังมีอยู่อีกจำนวนมากที่ยังไม่ถูกขุดขึ้นมา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การขุดสำรวจยังไม่ได้มากเท่าไร ก็ได้ถูกทางการสร้างพระราชวังทับลงไปแล้ว

แต่ซากไม้ที่ใช้สร้างพระราชวังแต่ครั้งอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่ และได้ขุดขึ้นมาแล้วได้ถูกจัดแสดงที่พระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่นี้ ซึ่งไม้แต่ละท่อนใหญ่โตมาก มีตัวอักษรจารึกอยู่ว่าเป็นผลงานของเมืองใด

พวกเราได้เที่ยวเดินชมพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่นี้ ทั้งข้างในและข้างนอกด้วยความตื่นตาตื่นใจ ชื่นชมในการสร้างของช่างชาวพม่า ที่ได้สร้างอย่างประณีต สวยงามทุกระเบียดนิ้ว

ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี

กำลังเดินชมนั้นก็นึกถึงเมื่อในอดีตไปด้วย จินตนาการว่า ได้ยินได้เห็นช้างศึกม้าศึกพร้อมกับไพร่พลที่ฮึกเหิม อยู่เต็มทุ่งมืดฟ้ามัวดิน ฝุ่นผงคลีตลบอบอวน กำลังจะออกเดินทางไปรบยังเมืองใดเมืองหนึ่ง ทั้งตัวแม่ทัพและนายกองต่างๆนั่งอยู่บนหลังช้างศึก อย่างสง่า

ใช้เวลาไม่นานนักก็เดินดูทั่วแล้วทั้งข้างในและข้างนอกในบริเวณใกล้เคียง เขาว่าที่ใกล้ๆกันนั้นยังมีโบราณสถานอีกคือ ตำหนักบรรทมของเพราะเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ไม่ได้ไป เพราะว่าไกด์บอกว่าไม่มีอะไรจะเสียเวลาไปเปล่าๆ

การที่จะมาเที่ยวในสถานโบราณไม่ว่าที่ไหน ถ้าเราจะเดินดูเฉยๆก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไร ดูแล้วก็แล้วไป แต่ถ้าจะมาดูมาเห็นแล้วนึกภาพสมัยโบราณไปด้วย ก็จะได้อรรถรสยิ่งขึ้นในการได้มาชมอย่างเช่นสถานที่แห่งนี้เป็นต้นนะครับ

ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี
ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี
ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี
ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี
ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี

ชมด้านในกันเสร็จแล้วก็มาชมด้านนอกกันครับ

ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี
ไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดีไปเที่ยวพม่า พระราชวังบุเรงนองที่เมืองหงสาวดี

เดินชมและถ่ายรูปกันเป็นที่พอใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางต่อไป เพราะว่าเราจะไปที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก เราต้องไปให้ถึงก่อนเพล ที่วัดแห่งนี้พวกเราจะไปทำบุญใส่บาตรให้พระสงฆ์ฉันอาหารในมื้อเพลกันครับ

ไปกันเถอะนะครับ เมื่อถึงแล้วผมจะมาเล่าต่อไปครับ

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

share now

ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี

     ออกจากโรงแรมเรือที่ย่างกุ้งกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่เมืองหงสาวดีกันเลย  เพราะว่าในวันแรกที่พวกเรามาเที่ยวที่พม่ากันนั้น ทุกที่ก็จะอยู่ในเมืองย่างกุ้งทั้งนั้น และเมื่อคืนก็ไปจบที่โรงแรมเรือ เป็นอันสิ้นสุดการที่อยู่ในย่างกุ้ง

     ในเช้าวันนี้ไกด์ของเรา คือนายซายซาย บอกว่า ในวันที่สองของการที่มาท่องเที่ยวในพม่านี้ พวกเราจะต้องขึ้นไปยังพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งอยู่ในรัฐฉานของประเทศพม่า การเดินทางจะนั่งรถไปหลายชั่วโมง และจะออกเดินทางในตอนเที่ยงแล้ว เพื่อกะว่าจะไปถึงที่นั่นเป็นเวลาเย็นๆพอดี

     ดังนั้นในตอนเช้าวันนี้จึงมีเวลาเหลืออีกครึ่งวัน รายการที่จะเที่ยวในเมืองหงสาก็ยังมีอีกสองสามที่ เมื่อรถวิ่งเข้าตัวเมืองหงสาแล้ว ก็ตรงไปยังวัดแห่งหนึ่ง ที่ชื่อว่าวัด ไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA

ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี

     ตอนนี้เป็นเวลาสายๆแล้ว ก่อนที่รถจะวิ่งวิ่งเข้ามาในบริเวณวัด มองเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่เหลืองอร่ามมาแต่ไกล เช้าวันนี้มีรถทัวร์ของนั่งท่องเที่ยวมาจอดบ้างแล้วแต่ยังไม่หนาแน่นมากนัก ก่อนลงจากรถไกด์บอกให้เวลาชั่วโมงเดียว ในการเข้าไปสักการะและเข้าไปทำบุญ

     เมื่อลงจากรถกันแล้วก็ทยอยเดินเข้าประตู เพื่อขึ้นไปยังพระองค์ใหญ่ แต่ก็มีบางท่านยังไม่เข้าไปก็มีแต่เดินเลี้ยวอ้อมไปข้างๆวัดเพื่อไปทำธุรกิจส่วนตัวเสียก่อน สงสัยว่าคงไม่ได้จัดการมาจากโรงแรมเรือเป็นแน่

     วัดแห่งนี้ บางท่านที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน หรือเคยได้ยินชื่อมาก่อน จะคิดว่าคือวัดอะไรกัน ในฐานะที่ผมได้ไปเที่ยวมาแล้วก็อยากจะขอบอกให้ท่านทราบสั้นๆนะครับ

ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี

     วัดไจ๊ปุ่น ตามประวัติสร้างในสมัยเมื่อราว 200 ปีมาแล้ว ครั้งที่หงสาวดีเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรมอญ โดยพระราชธิดาทั้ง 4 องค์ของกษัตริย์มอญได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อกันและกันว่า จะรักกันและอุทิศตนเป็นอุบาสิกาอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาตลอดไป โดยจะไม่อภิเษกสมรสเป็นอันขาด

     พระราชธิดาทั้ง 4 องค์จึงได้สร้าง พระพุทธรูป 4 องค์นั่งหันหลังชนกัน ณ วัดไจ๊ปุ่น ต่อมาพระธิดาองค์สุดท้องได้ผิดสัญญา พระพุทธรูปองค์หนึ่งได้เกิดปฏิหาริย์พังทลายลงมา

     ในปัจจุบันนี้ถ้าได้ไปสักการะสังเกตที่พระพักต์ของพระพุทธรูป จะมีองค์หนึ่งที่พระพักต์ผิดแปลกกว่าองค์อื่นๆ ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบพม่า ที่ว่าผิดแปลกไปนี้ก็เพราะได้ซ่อมแซมขึ้นภายหลัง ต่างจากองค์อื่นๆอีก 3 องค์ ที่มีพระพักต์ เป็นรูปวงรี (รูปไข่) แบบมอญ ซึ่งเป็นองค์เดิม ตั้งแต่แรกสร้างนั่นเอง

พวกผมสักการะเสร็จแล้วก็เดินดูรอบๆ แล้วก็ถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้มาเที่ยวที่นี้แล้ว

ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี

     สถานที่นี้เขาเก็บค่ากล้องถ่ายรูปประมาณ 200 จั๊ต (6 บาท) เท่านั้นเอง ซึ่งสถานที่เที่ยวบางแห่งก็ไม่เสียเงินครับ แต่ถ้าต้องเสียก็ควรให้เขาด้วยความเต็มใจ คิดเสียว่าทำบุญช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายของวัดแห่งนี้ด้วยครับ

     ทางด้านทางลงมีร้านขายของจำนวนสองสามร้าน โดยมากเป็นของที่ระลึก มีร้านหนึ่งซึ่งมีนักท่องเที่ยวยืนออกันอยู่ เขากำลังซื้อระฆังทองเหลืองลูกเล็กๆซึ่งมีใบโพธิ์ห้อยอยู่ ได้ยินว่าเขาซื้อระฆังนี้เพื่อเอาไปสักการะที่พระธาตุอินทร์แขวน เหตุที่ซื้อตรงนี้ ก็เพราะว่าที่นี่น่าจะถูกกว่าไปซื้อข้างบนพระธาตุเป็นอันมาก ผมก็เลยซื้อระฆังเล็กๆจากที่ร้านนี้กับเขาเหมือนกันครับ

ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี
ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี
ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี

หลวงจีนจากเวียตนาม กำลังซื้อระฆังทองเหลืองใบเล็กๆที่นี่ เพื่อเอาไปสักการะที่พระธาตุอินทร์แขวน ที่รู้เพราะไปเจอกันที่นั่นกับทัวร์ของเวียตนาม

ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดีไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี

ด้านหน้าวัดไจ๊ปุ่น ก่อนจะขึ้นรถ

     อากาศเริ่มจะร้อนแล้ว ผมและคุณหวานออกมาจากวัดไจ๊ปุ่น จะลงมาที่จอดรถ เห็นพวกเราที่มาด้วยกันยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ก่อนแล้ว ยังไม่ถึงเวลาที่ไกด์ได้นัดเอาไว้เลยก็ลงมากันเสียเกือบหมดแล้ว

ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี

ก่อนขึ้นรถกลับ ซื้อน้ำอัดลมกินแก้กระหายน้ำ กระป๋องละ 1,000 จั๊ด

ไปเที่ยวพม่า วัดไจ๊ปุ่น KYAIK PUN PAGODA หงสาวดี

เพื่อนที่ไปด้วยกัน ขอไปเซลฟี่ก่อนรถจะออก

 

เมื่อถึงเวลารถก็เคลื่อนออกจากวัดไจ๊ปุ่น เพื่อเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่งซึ่งก็อยู่ในเมืองหงสาเช่นเดียวกัน

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

เรารักสุพรรณฯ - ขอบคุณที่กดไลค์ให้เรา

share now