เรารักสุพรรณ สถานที่ท่องเที่ยวสุพรรณบุรี

 20160425 111233

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ ( Shwemawdaw Paya) เป็นพระมหาธาตุเจดีย์สำคัญที่อยู่ในเมืองพะโค (หงสาวดี) เป็นเจดีย์โบราณที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยเมื่อครั้ง มอญเรืองอำนาจ และได้มีการบูรณะและต่อเติมอีกหลายครั้ง

ภายในพระเจดีย์บรรจุพระเขี้ยวแก้วไว้ตั้งแต่สมัย พระเจ้าราชาธิราช และต่อมาในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ได้โปรดให้มีการหล่อ ระฆัง จารึกไว้ที่ฐาน

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ เป็นชื่อเรียกในภาษามอญ และคนไทยก็คุ้นเคยกับชื่อนี้คือ พระธาตุมุเตา แปลว่า "จมูกร้อน" ทั้งนี้เพราะกล่าวกันว่าพระมหาธาตุองค์นี้สูงมาก จนต้องแหงนหน้ามองต้องกับ แสงแดด ทั้งนี้เนื่องจากพระมหาธาตุเจดีย์ ชเวมอดอ นั้นเป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในพม่านั่นเอง

พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอหรือพระธาตุมุเตานี้ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ใช้เป็นที่ทำพระราชพิธีเจาะพระกรรณ (เจาะหู) ของ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ เมื่อครั้งพระองค์ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ ภายใต้วงล้อมของทหารมอญหลายหมื่นนายที่เป็นศัตรู แต่ก็ไม่อาจทำอะไรพระองค์ได้

เมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้สามารถยึดเมืองพะโค (หงสาวดี) เป็นราชธานีแห่งใหม่ได้สำเร็จ และในรัชกาลต่อมา คือ พระเจ้าบุเรงนองได้มีการสร้างฉัตรถวายเพิ่มเติมอีกหลายชั้นที่เจดีย์นี้

จนพระมหาธาตุเจดีย์สูงขึ้นอีกหลายเท่า และทรงถอดมณีที่ประดับยอดมงกุฎของพระองค์ถวายเป็นพุทธบูชาสูงสุด อีกทั้งกล่าวกันว่าก่อนที่พระองค์จะออกทำศึกคราใด จะทรงมานมัสการพระมหาธาตุเจดีย์นี้ก่อนทุกครั้ง

ซึ่งในปัจจุบันจุดที่เชื่อว่าพระองค์ทำการสักการะก็ยังปรากฏอยู่ และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งยกทัพมาตีพะโค (เมืองหงสาวดี) ก็ได้เสด็จมานมัสการที่นี่ด้วย

และในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2473 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนพระมหาธาตุเจดีย์ได้พังทลายลงมา หลังจากนั้นก็ได้มีการบูรณะ แต่ซากพระมหาธาตุองค์เดิมก็ได้มีการจัดแสดงไว้ในที่เดิม

ในประเทศไทย มีเจดีย์จำลองของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ ที่วัดชมภูเวก อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายมอญ และที่ วัดปรมัยยิกาวาส บนเกาะเกร็ด ในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายมอญเช่นเดียวกัน

นี่เป็นประวัติย่อๆของพระมหาธาตุเจดีย์ ชเวมอดอ หรือที่คนไทยเรียกว่าพระธาตุ มุเตา ซึ่งผมคัดลอกมาจาก วิกิพีเดีย นะครับ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยทราบเลยจะได้ทราบบ้างพอย่อๆ

20160425 111300

20160425 111141

คณะของผมซึ่งได้ออกจากพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งอยู่ในรัฐฉานของพม่า ในตอนสายๆ (ซึ่งได้เล่ามาแล้วในตอนก่อน) พวกเราเดินทางจากคิมปุนแคมป์ซึ่งอยู่ที่ตีนเขาพระธาตุอินทร์แขวน

คณะเดินทางของเรานั่งหลับบ้างตื่นมาดูทิวทัศน์ข้างทางกันบ้าง ระยะทางจากพระธาตุอินทร์แขวนถึง พระธาตุมุเตาซึ่งอยู่ในเมืองหงสาวดี เป็นระยะทางไกลมาก รถวิ่งอย่างน้อยก็ประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จึงนั่งหลับกันมาตลอดทาง

การเดินทางกลับไปเมืองหงสาเที่ยวนี้ รถวิ่งไปเรื่อยๆหลับบ้างตื่นบ้างดังที่ได้บอกมาแล้ว  คิดว่าคงจะเข้าเขตุเมืองหงสาแล้ว ได้ยินไกด์ ซายซาย บอกว่า นี่คือแม่น้ำสะโตง ผมเหลือบมองเห็นนาย ซายซาย กำลังชี้มือไปที่แม่น้ำ ซึ่งรถกำลังข้ามสะพานพอดี เขาบอกว่าแม่น้ำนี้คือแม่น้ำที่สมเด็จพระนเรศวร ได้ทรงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำ ไปถูกแม่ทัพของพม่าคนหนึ่ง

P4230039

 แม่น้ำสะโตง หรือ แม่น้ำซิตอง Sittoung River เป็นแม่น้ำในประเทศพม่ามีความยาว 420 กิโลเมตร เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่าง เขตหงสาวดีกับรัฐมอญ

แม่น้ำสะโตงเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ความกว้างจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งในบางตอนอาจกว้างถึง 3 กิโลเมตร

แม่น้ำนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จหลบหนีกองทัพพม่าของพระมหาอุปราชมังสามเกียด พระองค์ได้หลบหนีข้ามพ้นมาและได้แสดงวีรกรรมยิงพระแสงปืนข้ามลำน้ำสะโตง คือ ยิงปืนคาบศิลาจากอีกฝั่งของแม่น้ำไปถูกแม่ทัพพม่า ชื่อ สุรกรรมา เสียชีวิตคาคอช้าง เมื่อปี พ.ศ. 2127 ซึ่งต่อมาพระแสงปืนกระบอกนี้ได้ถูกขนานนามว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง " ผมมองดูแล้วแม่น้ำสะโตงนี้เป็นแม่น้ำที่กว้างมากจริงๆ สมเด็จพระนเรศวรได้ยิงปืนข้ามไปได้ คงจะเป็นเพราะว่าในครั้งกระนั้น จุดที่สมเด็จพระนเรศวรยิงปืนนั้นคงเป็นจุดที่แคบที่สุดของแม่น้ำสะโตงก็เป็นได้นะครับ

เมื่อรถวิ่งเข้าเขตุเมืองหงสาวดีก็เกือบเที่ยง ไกด์จึงได้บอกให้รถบัสที่เรานั่งมา เลี้ยวเข้าไปที่ภัตตาคารเพื่อกินอาหารกลางวันกันก่อน และอาหารมื้อกลางวันของวันนี้จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ในพม่า เพราะว่าในตอนค่ำวันนี้ก็จะเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว โดยการไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินนานาชาติ มิงกาลาดง ที่เมืองย่างกุ้งซึ่งห่างจากเมืองหงสาประมาณ 80 กิโลเมตรครับ

ดังนั้นในเวลาที่เหลือหลังจากกินอาหารมื้อกลางวันนี้กันแล้ว เขาก็จะพาพวกเราไปที่พระธาตุมุเตา แล้วก็ไปไหว้พระนอนชเวตาเลียวของเมืองหงสาวดี 

P4250429

กินอาหารกันเสร็จแล้ว ก็เที่ยงกว่าแดดกำลังร้อนจัดเลยทีเดียว รถพาพวกเราวิ่งไปที่พระเจดีย์พระธาตุมุเตาเลยทีเดียว วิ่งไปไม่นานนักหรอก ก็ถึงแล้ว

เจดีย์พระธาตุมุเตานี้เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดของพม่า สูงกว่าเจดีย์ชเวดากอง ที่เมืองย่างกุ้ง ที่เราได้ไปกันมาแล้วอีก 

พอลงจากรถแล้วก่อนเข้าไปในบริเวณเจดีย์ก็ต้องถอดรองเท้ากันอีกตามธรรมเนียม พวกเราจึงถอดรองเท้าเอาไว้ในรถ อากาศยิ่งร้อนแล้วก็เดินด้วยเท้าเปล่านี่เดินยากที่สุดเลย พวกเราจึงรีบเดินเข้าไปที่เจดีย์ ตรงนั้นเป็นวิหารใหญ่ ปลูกสร้างเป็นศิลปะของพม่า สวยงามมาก ในนั้นมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆนั่งอยู่หลายองค์ มีดอกไม้ธูปเทียนสำหรับบูชาพระขายอยู่ตรงนั้นด้วย

P4250390
P4250389
P4250393

ไหว้พระกันเสร็จแล้ว ก็ออกทางประตูด้านข้าง เดินไปชมยอดเจดีย์ที่หักโค่นลงมาเมื่อ พ.ศ. 2463 ซึ่งเขาก็ยังเก็บเอาไว้อยู่ข้างๆเจดีย์นั่นเอง มีคนมากราบไหว้กันมาก และมีบางคนเอาก้านธูปมาตั้งเอาไว้เหมือนกับว่าค้ำเอาไว้ อยู่เกะกะมากมาย

เจดีย์พระธาตุมุเตานี้มีลักษณะใหญ่และสูงมากจึงต้องถอยออกมามองที่ระยะไกล พวกผมพร้อมด้วยไกด์ ออกมายืนอีกด้านหนึ่ง จึงมองเห็นและถ่ายรูปกันตรงนั้น ไม่ได้เข้าไปใกล้เจดีย์เลย เพราะอากาศร้อนและแดดแรงมากจึงทำให้การถ่ายรูปในตอนนี้ออกมาไม่ดี ภาพที่ถ่ายจะออกมาพร่าและขาวมัวไปหมด มีใช้ได้เพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น เป็นที่น่าเสียดายเป็นอันมาก

20160425 111402

20160425 111518

สถานที่ศักดิ์สิทธ์ของพม่าตรงนี้น่าเสียดายที่ได้เดินดูกันนิดเดียวเท่านั้นไม่สมกับที่ได้ตั้งใจมาเที่ยวชมกัน ไม่เหมือนที่เจดีย์ชเวดากองที่เมืองย่างกุ้ง ที่ได้ไปเที่ยวชมกันในตอนเย็นแล้ว ดังที่ได้เล่ามาในตอนก่อนๆ ถ้าหากว่าที่พระธาตุมุเตานี้ มากันในตอนเย็นหรือในตอนที่อากาศไม่ร้อนมาก ก็จะได้เดิมชมกันนานๆให้ทั่วถึง

เดินดูกันประเดี๋ยวเดียวให้พอรู้ว่าได้มากันและถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลากลับไปที่รถ นั่งรถกันต่อไปที่ พระนอนองค์หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ชเวตาเลียว ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักนั่งรถประเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว

20160425 124633

พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว หรือที่คนไทยเรียกกันว่าพระนอนยิ้มหวานนี้ เป็นปูชนีย์สถานศักดิ์สิทธ์อันดับสองของเมืองหงสาวดี รองลงมาจากพระธาตุมุเตาที่พวกเราได้ไปกันมาก่อนหน้านี้แล้ว

พระนอนชเวตาเลียว เป็นพระพุทธไสยาสน์ มีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุต ตามตำนานบอกว่า สร้างโดยพระเจ้า เมงกะติปะ ซึ่งเป็นกษัตริย์มอญ ในสมัยที่มอญเรืองอำนาจ มีพุทธลักษณะที่งดงาม

P4250445

P4250440

ด้านหลังองค์พระมีภาพวาดเล่าขานตำนานอย่างสวยงาม หลังจากที่พระเจ้า อลองพยาปราบมอญได้ราบคาบแล้ว เมืองหงสาวดีก็ถูกทิ้งร้าง พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ก็ไม่ได้รับการดูแลจนกลายเป๋นกองอิฐจมอยู่ในพื้นดิน จนถึงปี พ.ศ. 2424 เมื่ออังกฤษได้สร้างทางรถไฟสายพม่า จึงได้ขุดพบพระนอนองค์นี้

และจากนั้นในปี พ.ศ.2491 หลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ จึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ ขึ้นมาอย่างจริงจัง จนถึงทุกวันนี้

อันนี้เป็นประวัติเรื่องราวย่อๆของพระนอนองค์นี้นะครับ

P4250437

คณะของเราได้ซื้อดอกไม้ธูปเทียนกราบไหว้กันตามประสาผู้มาแสวงบุญกันทั่วทุกคน เสร็จ ถ่ายรูปกันบ้างแล้วก็นั่งพักเหนื่อยกันสักครูหนึ่ง ก็จะออกเดินทางกันกันต่อไป

แวะมาที่เมืองหงสาเพียงเท่านี้ แล้วก็ต้องเดินทางต่อไปยังเมืองย่างกุ้ง เพราะว่าจะต้องไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินในเมืองย่างกุ้ง เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯในตอนค่ำๆของวันนี้

ย้อนกลับมาที่เมืองย่างกุ้งอีกครั้ง

จากเมืองหงสากลับมาเมืองย่างกุ้งระยะทาง 80 กิโลเมตรนั่งรถกันนานพอสมควร เมื่อถึงเมืองย่างกุ้งแล้ว ไกด์ดูนาฬิกาแล้วบอกว่า ยังพอมีเวลาที่จะไปเยี่ยมพระองหนึ่ง ที่อยู่ที่วัดไม่ไกลนัก ไกด์บอกว่า มีคนไทยที่มาเที่ยวที่เมืองหงสานี้ มักจะไปเยี่ยมหลวงพ่อองค์นี้ เพราะว่าหลวงพ่อองค์นี้ท่านมีของดีแจก ไกด์ของเราบอกอย่างนั้น แบบว่าเพิ่มความอยากไปขึ้นมาอีก

ไกด์ได้ถามว่าจะไปกันหรือเปล่า พวกเราทุกคนเต็มใจที่จะไปกันเรียกว่าพาไปไหนก็ไป ยิ่งรายการนี้เขาว่ามีของดีแจก ทุกคนก็หูผึ่งนะซี เอ้าไปกันเถอะ

ซึ่งรายการนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมที่เขาจะพาเที่ยว เรียกว่าเป็นรายการพิเศษก็ว่าได้

ดังนั้นรถก็วิ่งพาพวกเราลัดเลาะไปอีกไม่นานนัก ก็มาถึงวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ชื่อว่า วัดเทนตองไตติท หรือที่เรียกกันทั่วๆไปว่า วัดบารมี ซึ่งมี พระภัททันตะ กิตติวาระ เป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้

 20160425 152636

 20160425 153618

วันนี้โชคดีที่ท่านเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดไม่ได้ไปไหน พวกเราจึงได้พบท่าน และได้รับแจกของดี ของดีที่ไกด์บอกเมื่อตอนอยู่บนรถนั้นคือพระธาตุ ซึ่งได้รับแจกจากมือท่านเจ้าอาวาส เอากลับไปที่บ้านกันแทบทุกคน

เมื่อได้เวลาแล้วก็ลากลับออกไปขึ้นรถ และเดินทางต่อไปที่โรงเลี้ยงช้างซึ่งเป็นช้างเผือก รถวิ่งพักเดียวก็ถึง ที่จริงผมและคุณหวานกับเพื่อนอีกสองสามคน ก็นึกว่าจะไม่เข้าไปดูแล้ว เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไร

ก็คงเป็นสถานที่เลี้ยงช้างของรัฐบาลนั่นเอง อีกอย่างชักจะล้าและปวดเมื่อยเนื้อตัวตั้งแต่ขึ้นพระตุอินทร์แขวนตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว  แต่ในเมื่อได้มีโอกาสมาแล้ว ก็เลยชวนกันเดินตามกันไปเป็นพรวน ซึ่งรถยนต์เข้าไม่ได้ รถจึงจอดรอที่หน้าประตูทางเข้า แล้วก็เดินเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร

P4250452

P4250453

P4250455

ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ที่นี่ก็เปรียบเสมือนโรงเลี้ยงช้างของหลวง (ไม่ใช่ของเอกชน) ตอนที่ไปดูนั้นมีช้างอยู่ 2 เชือก จะมีอีกหรือเปล่านั้นผมมองไม่เห็นจริงๆ ช้างเผือกทั้งสองเชือกนี้ (เท่าที่เห็น) อ้วนพีมากสมกับเป็นช้างของหลวงเลยทีเดียว มีคนเข้าไปถ่ายรูปกับช้างที่อยู่ในความควบคุมของคนเลี้ยงด้วย

ที่นี่เขามีของที่ระลึกที่ทำจากงาช้างจำหน่ายด้วย แต่มีไม่มากนัก ราคาจะแพงหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบ เห็นไกด์ ซายซาย ซึ่งพูดพม่าได้เจรจาอยู่กับคนขาย คงจะถามเรื่องราคา แต่ผมฟังไม่ออกจึงไม่รู้ราคาและไม่ได้ซื้ออะไรติดตัวกลับบ้านเลย

P4250458

 

อยู่ที่โรงเลี้ยงช้างไม่นาน ก็รีบออกจากที่นั่นเพราะเวลาเริ่มน้อยลงทุกทีแล้ว แล้วก็มุ่งตรงไปชมพระหยกขาว ที่วัดพระหยกขาว The Jade Buddha ซึ่งทางการพม่าเขาแกะสลักจากหยกขาวทั้งก้อน พระองค์นี้ใหญ่มาก จะเป็นหยกทั้งก้อนจริงๆหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้

แต่ก็น่าเสียดายที่ผมและเพื่อนอีกหลายคนไม่ยอมลงจากรถไปดูพระหยกองค์นี้ เพราะว่าเมื่อยเหลือเกินแล้วครับ รถจอดที่ลานวัดแล้วก็เดินๆเล่นแถวๆหน้าประตูทางขึ้นนั่นเอง เกี่ยวกับพระหยกขาวนี้ผมจึงไม่มีภาพมาให้ชมกันครับ ที่เที่ยวตามโปรแกรมก็หมดแล้ว จึงออกเดินทางไปยังสนามบิน

P4250463

P4250465

P4250467

ซื้อของกินเล็กน้อยเป็นพวกผลไม้ เอาไว้กินระหว่างทาง ที่บริเวณหน้าวัดพระหยก

เราไปถึงสนามบินนานาชาติ มิงกาลาดง ที่ย่างกุ้ง ก็หกโมงเย็นกว่าๆแล้ว เครื่องบินจะออกเวลาประมาณทุ่มครึ่ง  พวกเรามาถึงสนามบินในเวลานี้ก็นับว่าเหมาะพอสมควร เพราะว่าต้องเผื่อเวลา ที่จะทำพิธีการต่างๆด้วย

แต่ที่สนามบินของพม่านี้คนไม่เยอะเท่าสนามบินดอนเมือง พิธีการต่างๆจึงเสร็จเร็วเพราะว่าการมาเที่ยวที่พม่าครั้งนี้ผมไม่ได้ซื้ออะไรติดมือกลับบ้านเลย จะมีก็มีเพียงระฆังทองเหลืองเล็กๆลูกเดียวเท่านั้น และมีธนบัตรของพม่าอีกสองสามใบ เพื่อเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง คงเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงที่จะหาอะไรกินก่อน เรียบร้อยแล้วก็ไปรอในห้องผู้โดยสารขาออก

ขากลับกรุงเทพฯโดยสารการบินเดิมเช่นเดียวกับขามาคือ สายการบินแอร์เอเซีย ผู้โดยสารก็แน่นมากอีกตามเคย เมืองย่างกุ้งของพม่า กับสนามบินดอนเมืองของไทย เครื่องบินจะบินไม่นาน ประมาณ 45 นาที เครื่องก็จะร่อนลงสนามบินดอนเมืองแล้ว

ในวันนั้นเครื่องบินลงจอดที่ดอนเมืองแล้วโดยปลอดภัย ผ่านพิธีการศุลกากรและคนเข้าเมืองแล้ว ก็ไปรอรับกระเป๋าเดินทางที่รางเลื่อนในตัวอาคาร  แล้วโทรบอกลูกสาวให้มารับตรงจุดที่นัดกันไว้ ไม่นานนักลูกสาวก็มารับ และเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

บทความในลักษณะสารคดีเรื่อง ไปเที่ยวพม่า ที่มีหลายตอนนี้ไม่ได้เป็นเอกสารทางวิชาการ หรือการนำมาอ้างอิงใดๆได้ทั้งสิ้น ผมเขียนเล่ามานี้ก็เพียงแต่เป็นสิ่งที่ได้พบเห็นและสัมผัสมาด้วยตัวเองจริงๆเท่านั้น

ขอขอบคุณท่านที่ได้ติดตามอ่านมาจนจบ อาจจะมีข้อความใดที่ได้กล่าวผิดพลาดบ้าง ก็ขออภัยแด่ท่านผู้อ่านและทุกๆท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องภายในเรื่องนี้ด้วย

สวัสดีครับ