พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม
เรียกว่าทัวร์เที่ยวนี้ พอลงจากเครื่องบินแล้วก็ออกเดินทางไปเที่ยวกันเลย เพราะว่ายังมีเวลาที่จะถึงอาหารมื้อกลางวัน ไกด์ของเราคือนายซายซายบอกว่า ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปยังจุดแรกที่เราจะไปเที่ยวกันคือเมืองสิเรียมซึ่งอยู่ห่างจากสนามบิน (มิงกาลาดง) เมืองย่างกุ้งประมาณ 25 กม. ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก เมืองสิเรียมนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำย่างกุ้งที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำหงษา เพื่อมาชมเจดีย์กลางน้ำที่ชื่อว่าพระเจดีย์เยเลพญาซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะกลางน้ำซึ่งเป็นเกาะเล็กๆไม่กว้างใหญ่
สำหรับเจดีย์เยเลพญานี้ มีตำนานที่ย่อๆคือ
เจดีย์เยเลพญา หรือ เจดีย์กลางน้ำ ตามตำนานเล่าว่า เจดีย์แห่งนี้สร้างในสมัยมอญเรืองอำนาจ เมื่อราวพันกว่าปีก่อน โดยมีคหบดีชาวมอญเป็นผู้สร้างและยังได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าน้ำท่วมก็ขออย่าให้ท่วมองค์พระเจดีย์ ถ้ามีผู้คนมากราบไหว้จำนวนมากเท่าไหร่ก็ขอให้ไม่มีวันเต็มล้นพื้นที่ เพราะเจดีย์แห่งนี้สร้างบนเกาะมีสภาพเป็นเพียงเกาะเล็กๆกลางแม่น้ำกว้างใหญ่เท่านั้น และเจดีย์แห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง ไหว้พระขอพรทำธุรกิจทางการค้า
ตรงท่าที่จะข้ามฟากลงเรือนั้น จะมีคนขายดอกไม้และชุดไหว้พระ (มองเห็นข้างหลัง) ถ้าซื้อตรงนี้ราคาไม่แพงเท่าที่ไปซื้อที่เกาะ
โดยที่พระเจดีย์เยเลพญานั้นอยู่ที่เกาะกลางน้ำ อยู่บนฝั่งก็จะมองเห็นเป็นเกาะเล็กๆ เมื่อมาถึงท่าเรือที่เราจะต้องนั่งเรือข้ามฝั่งไป ตรงท่าเรือก่อนจะข้ามไปนั้น ที่ฝั่งถนนบนตลิ่งเป็นตลาด มีตึกใหญ่ๆ เป็นร้านขายของ ผู้คนเดินกันขวักไขว่
ส่วนฝั่งที่เป็นท่าเรือที่จะลงเรือข้ามฟาก จะมีคนขายดอกไม้ธูปเทียนที่จะนำไปสักการะพระเจดีย์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ถ้าเราจะซื้อดอกไม้ธูปเทียนเราต้องซื้อตรงนี้เลย เพราะจะมีราคาถูก เขาจะขายเป็นชุดๆ ชุดหนึ่งจะมีหลายๆอย่างด้วยราคาชุดละ 1,000 จั๊ดเท่านั้น (ประมาณ 30-35 บาท)
ใครที่ชอบแบบไหน ชุดเล็กหรือชุดใหญ่ ก็เลือกเอาตามใจชอบ แต่ก็มีบางคนที่ไปด้วยกันไม่ได้ซื้อเลยก็มี เขาคงตั้งใจจะไปซื้อที่ในเกาะเลยก็ได้
เรียบร้อยในการซื้อดอกไม้ธูปเทียนแล้ว พวกเราทั้งคณะก็พากันเดินลงบันไดซึ่งไม่สูงชันมากนักลงไปที่ท่าซึ่งเป็นคอนกรีตมีเรือจอดรออยู่
มารู้ภายหลังว่าเรือลำนี้ที่พวกเราจะข้ามไป ไกด์ได้ติดต่อเหมาลำเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่มีผู้โดยสารอื่นๆปนอยู่เลย ผมจึงไม่ทราบราคาเรือข้ามฟากนี้ค่าโดยสารเที่ยวละเท่าไร
คนที่ซื้อชุดดอกไม้มาจากข้างบนท่า และคนอื่นๆที่ไม่ได้ซื้อเดินลงมาขึ้นเรือ ตลิ่งไม่สูงชันมากนัก
ขึ้นไปนั่งในเรือกันเรียบร้อยแล้ว เรือก็จะค่อยๆเล่นออกจากท่าพาเราข้ามฝั่งไป
เรือนี้เป็นเรือที่ใหญ่พอสมควร ไม่ใช่เรือหางยาวซึ่งเล็กกว่าเรือที่เรานั่งไปนี้มาก เรือขนาดนี้จึงบรรจุผู้โดยสารได้มากและไม่โคลงเครง ตอนนี้เรือกำลังเทียบท่าที่เกาะพระเจดีย์เยเลพญา
ในขณะที่เรือกำลังวิ่งไปที่เกาะ นายซายซายบอกให้พวกเราถอดรองเท้าเอาไว้ในเรือนี่แหละ คนที่เป็นคนดูแลในเรือจะเก็บเอาไว้ให้ไม่มีการสูญหาย เพราะว่าตามวัดวาอารามหรือสถานที่ต่างๆของทางศาสนาที่ประเทศพม่านั้น เขาจะไม่ให้ใส่รองเท้าเข้าไปอย่างเด็ดขาด บางแห่งก็มีสถานที่รับฝากรองเท้าด้วย เสียเงินให้เขานิดหน่อย ก็สบายใจดี แต่ในกรณีนี้เราถอดรองเท้าไว้ในเรือกันเลย ไกด์บอกว่าตอนขากลับเราก็จะกลับด้วยเรือลำนี้ จึงเป็นอันว่ารองเท้าไม่มีการสูญหายแน่นอน
ถึงท่าเรือที่เกาะกลางน้ำ มองกลับไปที่ท่าเรือที่เรานั่งมา จะมองเห็นท่าน้ำและที่เห็นไกลๆนั้นคือ เจดีย์ใหญ่องค์หนึ่ง แห่งเมืองสิเรียม
เมื่อเรือจอดเทียบท่าแล้ว พวกเราก็เดินเท้าเปล่าขึ้นบันไดคอนกรีตที่เขาทำเอาไว้อย่างดี ใครจะไปไว้พระหรือเทพเจ้าอะไรต่างๆเพื่อขอพรก็ได้ตามอัธยาศัย แต่ก็ต้องรักษาเวลาที่ไกด์ให้ไว้ด้วย จะได้มาลงเรือกลับตามเวลา
ทีพระเจดีย์เยเลพญานี้ เป็นเกาะกลางน้ำไม่ใหญ่มากนัก มีสิ่งก่อสร้างต่างๆที่สวยงาม มีคนข้ามมาเที่ยวกันมาก ที่นี่เป็นที่สักการะศักดิ์สิทธิ์ของชาวสิเรียม ซึ่งมีอายุนับพันๆปีแล้ว มีสิ่งก่อสร้างต่างๆที่สวยงาม รวมทั้งพระพุทธรูปปางต่างๆ และรูปปั้นของเทพเจ้า ซึ่งผมไม่ทราบว่ามีเทพเจ้าอะไรบ้าง เขามีป้ายเขียนบอกไว้แต่เป็นภาษาพม่าทั้งนั้น ไม่มีภาษาอื่นๆเลย
น่าจะมีภาษาอังกฤษบ้างก็ยังดี จะได้กล้อมแกล้มเดาเอาได้บ้าง จะถามนายซายซาย (ไกด์นำเที่ยว) ก็ไม่รู้ว่าเดินไปทางไหนเพราะฉะนั้นผมจึงบอกไม่ถูกว่า มีอะไรบ้างและรายละเอียดเป็นอย่างไร ได้แต่ถ่ายรูปมาดูกันเท่านั้น เมื่อไม่รู้ตำนานจากที่เขาเขียนไว้ ผมและคุณหวานก็เลยไหว้พระองค์ใหญ่ น่าจะเป็นพระประธาน เห็นมีคนกราบไหว้ปิดทองกันหนาแน่น
เรียบร้อยแล้วก็เดินชมสิ่งต่าง เพราะว่าสถานที่ก่อสร้างต่างๆเขาสวยงามมาก มีหุ่นรูปปั้นต่างๆซึ่งคิดว่าคงเป็นเทพเจ้าของเขา และมีตู้บริจาคเงินอยู่ทุกๆที่ๆรูปปั้นนั้นๆด้วย เหตุเพราะว่าเป็นเกาะเล็กๆที่กลางน้ำ จึงเดินดูนั่นนี่ไม่นานก็ทั่วหมดแล้ว
โดยที่เราอ่านหนังสือภาษาของเขาไม่ออก การชมสถานที่ต่างๆบนเกาะนี้จึงไม่ค่อยมีอรรถรสเท่าไรนัก แวะดูนิดหน่อยก็เดินผ่านเลยไป
เมื่อเราสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่และเดินชมกันอย่างอิ่มเอมใจแล้ว สักพักใหญ่ๆก็ถึงเวลาที่ไกด์นัดหมายไว้ให้พวกเรามารวมตัวกันที่ท่าเรือ ซึ่งจะได้ลงเรือข้ามกลับเพื่อจะเดินทางไปยังในตัวเมืองย่างกุ้งต่อไป
ตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว (เวลาที่พม่าช้ากว่าไทยครึ่งชั่วโมง) คณะท่องเที่ยงของเราต่างคนก็ต่างหิว เพราะว่าตั้งแต่เช้าที่เครื่องบินลงที่สนามบินพม่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครได้กินข้าวกันเลย
ไกด์บอกว่า รายการต่อไปนี้ก็จะเดินทางเข้าเมืองย่างกุ้ง เพื่อไปกินอาหารกันที่ภัตราคารแห่งหนึ่งในตัวเมือง พวกเราจึงรีบก้าวขึ้นรถกันโดยไม่ชักช้าเลย เพราะว่าทุกคนต่างก็หิวแล้ว
ภาพตอนลงเรือกลับจากเจดีย์กลางน้ำ เจดีย์เยเลพญา
ก่อนจะจบเรื่องเจดีย์กลางน้ำ หรือเจดีย์เยเลพญานี้ ก็จะขอเล่าตำนานของสถานที่นี้สักหน่อยครับ
เมืองสิเรียม (Syriem) เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำหงสา และแม่น้ำย่างกุ้งมาบรรจบกัน ซึ่งในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองท่าที่สำคัญในการเดินเรือของชาวโปรตุเกส ปัจจุบันเมืองสิเรียมเป็นเมืองอุตสาหกรรม ชาวเมืองส่วนใหญ่ทำงานกันในโรงกลั่นน้ำมัน หรือไม่ก็เป็นลูกจ้างในโรงเบียร์
ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพม่าเชื้อสายอินเดีย เพราะในสมัยที่พม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ สิเรียมเป็นศูนย์กลางของเมืองท่า และยังเป็นแหล่งผลิตอาหารส่งสู่กรุงย่างกุ้ง และอังกฤษต้องเกณฑ์แรงงานอินเดียมาทำนาหากินกันจนถึงปัจจุบันนี้
ตามประวัติศาสตร์ของเมืองสิเรียมนี้ พื้นที่มีสภาพเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากน้ำ เป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ ทำให้เป็นที่หมายปองของชาวต่างชาติในสมัยก่อน ในยุคล่าอาณานิคม มีชาวโปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส และชาวฮอลันดาต่างก็แย่งกันขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้
หลังจากหมดยุคอันเกรียงไกรของอาณาจักรหงสาวดี สิ้นบุญพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าบุเรงนองคือพระเจ้านันทบุเรง พระองค์ทรงอ่อนแอจนบรรดาประเทศราชประกาศแยกตัวเป็นอิสระ
แม้กระทั่งกองทหารและชาวบ้านก็หลบลี้หนีหาย จนอาณาจักรหงสาวดีที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรแทบกลายเป็นเมืองร้าง กองทัพชาวยะไข่จากรัฐอาระกัน ก็บุกเข้ามาปล้นสะดมแล้วเผาเมืองโดยง่าย พวกยะไข่มีกองทัพที่เข้มแข็งและยังมีทหารรับจ้างเป็นชาวโปรุเกสที่เชี่ยวชาญการรบ เมื่อครั้นเคลื่อนพลมาหงสาวดีก็ตั้งกองทัพเรือที่เมืองสิเรียม
ครั้นเสร็จศึกสงคราม ก็ปูนบำเหน็จให้ทหารรับจ้างโปรตุเกสชื่อฟิลิปเดอบริโต ยีนิโคเต เป็นเจ้าเมืองสิเรียม ตั้งแต่นั้นมาเมืองสิเรียมก็เป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลแทนหงสาวดี
ฟิลิป เดอ บริโต ยี นิโคเต ปกครองเมืองสิเรียมได้ 13 ปี พวกเขาได้ทำลายดินแดนพระพุทธศาสนา ยึดทรัพย์สินและบังคับให้ชาวเมืองสิเรียมเข้ารีตเป็นชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอริก และให้ทำลายรูปปั้นในศาสนาอื่น โดยเฉพาะวัดในพุทธศาสนา กอบโกยผลประโยชน์ทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเมืองสิเรียม
จนพระเจ้าอนอคะเปตลุน กษัตริย์พม่า มาล้อมเมืองสิเรียม จับ เดอ บริโต เสียบประจานรับโทษทัณฑ์สูงสุดตามกบิลเมืองพม่าที่กำหนดไว้สำหรับผู้ที่ปล้นวัดวาอาราม ทนทุกข์ทรมานอยู่สามวันจึงตาย
หลังจากการตายของเดอ บริโต เมืองสิเรียมตกอยู่ในอำนาจของพม่าบ้าง มอญบ้าง ไทยบ้าง กระทั่ง พ.ศ.2428 พม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 อังกฤษได้พัฒนาเมืองสิเรียมเป็นเมืองอุตสาหกรรมและแหล่งปลูกข้าวตราบจนปัจจุบัน
ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 1 เตรียมการเดินทางไปพม่า
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 2 ความรู้ต่างๆจากไกด์ชาวพม่า
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 3 พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม (ตอนที่กำลังเปิดอยู่นี้)
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 4 อาหารมื้อแรกที่เมืองย่างกุ้ง
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 5 พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี และ เทพกระซิบ
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 6 นัตโบโบยี (natboboyee) หรือเทพทันใจที่เมืองย่างกุ้ง
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 7 ตลาดสก๊อตที่ย่างกุ้ง (Scott Market)
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 8 พระมหาเจดีย์ ชเวดากอง
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 9 โรงแรมเรือVintage Luxury Yacht Hotel ที่เมืองย่างกุ้ง
- ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 10 วัดไจ๊ปุ่น (KYAIK PUN PAGODA) ที่หงสาวดี