เรารักสุพรรณ สถานที่ท่องเที่ยวสุพรรณบุรี

ค่ำคืนอันเลวร้าย 2
เขียนโดย Patipat Suwanmutcha

 

คุณสมศักดิ์พร้อมกับภรรยาและลูกสาวได้ยินเสียงแว่วๆพอจับใจความได้ว่า คนในรถคนหนึ่งตะโกนบอกให้หยุดรถก่อน คุณสมศักดิ์ยังไม่ยอมหยุดรถ และบอกภรรยาและลูก

“อย่าไปมองเขานะคุณ” ทั้งคู่จึงมองไปข้างหน้าอย่างไม่ละสายตา ตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิดแล้วเพราะเป็นข้างแรม เห็นแต่แสงไฟหน้ารถส่องสว่างไปตามท้องถนนที่เปลี่ยวและไม่มีรถวิ่งผ่านไปมาสักคันเดียว

 

คุณสมศักดิ์คิดว่าพวกนี้คงมีอะไรที่เข้าใจผิดกันแล้ว แต่ก็ยังคิดไปในทางที่ดีว่าคงไม่มีอะไร จึงขับรถต่อไปเรื่อยๆโดยไม่หยุดรถ ตามที่ชายคนที่นั่งอยู่ในรถอีกคันหนึ่งตะโกนบอก

ได้ยินเสียงด่าสบถโวยวายมาจากรถอีกคันหนึ่งจากชายคนนั้น
รถทั้งสองคันยังขับตีคู่กันมาอย่างไม่เร็วนัก เพราะถนนแคบและถนนไม่ดีด้วย แม้ว่าจะเป็นถนนลาดยาง แต่พื้นถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อขุขระตามสภาพของถนนในชนบท ทำให้รถวิ่งได้ช้า

 

สักครู่หนึ่งรถที่วิ่งคู่มานั้นได้ขับมาชิดรถของคุณสมศักดิ์แล้วกระแทกด้านข้าง หมายใจว่าจะให้คุณสมศักดิ์หยุดรถให้ได้ ทีแรกก็เบาๆก่อน พอกระแทกหลายครั้งเข้าก็กระแทกแรงมากขึ้น

แม้ว่าจะกระแทกด้านข้างรถคุณสมศักดิ์แรงมากขึ้นแต่รถของคุณสมศักดิ์ก็สะเทือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเป็นรถขนาดใหญ่กว่ารถที่ตั้งใจเบียดมานั้นมากนัก

“เอ๊ะอะไรกันนี่ สงสัยจะไม่ดีเสียแล้ว ” คุณสมศักดิ์บ่นออกมาด้วยความหัวเสีย

“อย่าจอดนะคุณ เราไม่รู้ว่าเขาจะเอาอย่างไรกันแน่ ” คุณมาลีเอ่ยออกมา

อินเดียตอนนี้ไม่ง่วงนอนแล้ว มองดูเหตุการณ์ด้วยใจระทึกเพราะว่าไม่เคยเห็นเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน

คุณสมศักดิ์พยายามประคองรถให้วิ่งอยู่บนถนน รู้สึกว่ารถจะส่ายไปมาเพราะแรงกระแทกของรถอีกคันหนึ่ง

“เฮ้ย เฮ้ย บอกให้หยุดไง หยุดรถแล้วลงมาพูดกันก่อน”

 

เสียงจากรถคันที่วิ่งคู่ขนานกันมาตะโกนดังลั่น จากคนที่นั่งอยู่ในที่คนขับ ซึ่งเห็นได้ว่าตัดผมสั้นเกรียนบางๆ ดูหน้าตาจะดีกว่าคนแรกที่ตะโกนออกมา

รถตีคู่กันมาได้ไกลแล้ว สักครู่หนึ่งรถคันที่วิ่งคู่กันมากระแทกด้านข้างรถคุณสมศักดิ์อย่างแรง จนสุดที่คุณสมศักดิ์จะบังคับรถไว้ได้

รถจึงวิ่งไถลลงไปข้างๆทางซึ่งไหล่ทางไม่สูงเท่าไรนัก ข้างทางเป็นร่องตื้นๆ ทำให้รถไม่ได้พลิกคว่ำลงไป

รถจึงจอดที่ข้างทางและคุณสมศักดิ์ดับเครื่องยนต์ แต่ไฟหน้ารถยังเปิดเอาไว้ให้มีแสงไฟส่องสว่างท่ามกลางความมืด

 

“มีอะไรต้องพูดกับพวกมันให้รู้เรื่องแล้ว ” คุณสมศักดิ์พูดอย่างอารมณ์เสีย

“คุณอย่าเพิ่งลงไปนะคุณ” คุณมาลีบอก
“คอยดูท่าทีมันก่อน แบบนี้ไม่ดีแน่แล้ว และพวกมันน่าจะมีอาวุธด้วย”

 

คุณมาลีมองไปที่รถคันนั้น ซึ่งกำลัง วิ่งลงมาจากถนนแล้วมาจอดไม่ไกลจากรถคุณสมศักดิ์นัก

เสียงเครื่องยนต์จากรถคันนั้นยังครางกระหึ่มอยู่ ชั่วครู่เดียวเครื่องยนต์ก็ดับสนิทแต่ก็ยังเปิดไฟหน้ารถเอาไว้ ประตูรถเปิดออก ชายสามคนก้าวลงมาจากรถพร้อมกัน

ชายคนที่สามซึ่งทีแรกมองไม่เห็นตอนนั่งอยู่ในรถ ซึ่งเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ผมหยิกเล็กน้อย ไว้ผมรองทรงธรรมดาทั่วไป มองเห็นจากแสงไฟอย่างไม่ชัดนัก

เห็นจากแสงไฟหน้ารถว่าเป็นคนผิวขาวหน้าตาดี ไว้หนวดที่ริมฝีปาก เดินเข้ามาที่รถพลางกระชากประตูทางด้านคนขับ ที่คุณสมศักดิ์นั่งอยู่ แต่ประตูไม่เปิด เพราะคุณสมศักดิ์ยังล๊อคประตูทุกบานเอาไว้

 

“อ้อ มากันสามคนเหรอนี่”

คนที่กระชากประตูแล้วประตูยังไม่เปิด มองผ่านกระจกกวาดสายตาไปทั่วๆ เห็นเป็นผู้หญิงอีกสองคนที่นั่งอยู่ในรถ

อีกสองคนที่มาด้วยกัน ซึ่งคนหนึ่งเป็นคนขับรถผมสั้นเกรียน เหมือนว่าจะบวชเพิ่งสึก มายืนที่หน้ารถ เอามือทั้งสองยันกับหน้าหม้อรถเอาไว้ตรงกับแสงไฟหน้ารถพอดี

อีกคนหนึ่งที่เป็นคนตะโกนเป็นคนแรก ที่ผมยาวเป็นกระเซิง แต่งกายสกปรก มายืนที่ท้ายรถ มองดูที่ยางรถยนต์ของคุณสมศักดิ์

แล้วก็เบือนหน้าไปมองทางอื่นแล้วก็กลับมามองที่ยางรถยนต์อีก โดยที่ไม่รู้ว่ามันประสงค์อะไร

 

“ลงมาจากรถเถอะครับคุณ มาคุยกันก่อน ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกครับ ”

ชายคนร่างสูงผมหยิกไว้หนวดที่กวาดสายตาเข้าไปในรถบอก

“อย่าเปิดนะคุณ เราไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกับเขา เราก็มาของเราดีๆแต่เขามาหาเรื่องเราเอง อย่างนี้ไม่ดีแน่ๆเลย ”

คุณมาลีบอกคุณสมศักดิ์ที่กำลังงงอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และคิดว่าเวลานี้ภัยกำลังมาใกล้ตัวแล้ว แต่จะเป็นแบบไหนจะเอาตัวรอดอย่างไรยังไม่รู้เท่านั้นเอง

คนที่เป็นคนมาเจรจานั้นทำท่าหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าคุณสมศักดิ์ยังนิ่งเฉยอยู่

“อยากให้ผมทุบกระจกเข้าไปหรือ ลงมาคุยกันดีๆดีกว่าครับ ไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำอะไรพวกคุณหรอก อยากจะคุยเรื่องที่คุณขับรถแล้วมาเบียดรถผมตกถนนเท่านั้นเอง”

 

พูดหาเรื่องอย่างนี้คุณสมศักดิ์ก็พอมองออกแล้วว่าพวกนี้ต้องประสงค์อะไรอย่างหนึ่ง อย่างแน่นอน

ชายคนที่ยืนอยู่หน้ารถเดินกลับไปที่รถของเขาหยิบเอากุญแจเลื่อนอันใหญ่แล้วเดินกลับมา แล้วบอกว่า

“มันไม่ยอมเปิดประตู ก็เอากุญแจเลื่อนนี้ฟาดกระจกแม่งเลย ”
คนที่ถือกุญแจเลื่อนมาทำท่าจะฟาดไปที่กระจกรถ

“อย่าๆ ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย คุณมีอะไรก็คุยกันอย่างนี้ก็ได้นี่ ”

 

คุณสมศักดิ์ยกมือห้าม เพราะคิดว่าจะเสียของเปล่าๆและเรื่องจะบานปลาย ถ้าเขาทำแบบนั้น

“ก็มึงไม่ลงมานี่ กูพูดดีๆแล้วนะ มึงไม่ลงมาตกลงกันก่อนนี่นา มึงเบียดรถกูตกถนนแล้วไม่ลงมาตกลงกัน กูก็ต้องเอาแบบนี้ ”

ชายคนนี้พูดไม่สุภาพ และพูดไม่ตรงกับความจริง แต่จะไปหาคำพูดที่สุภาพอะไรกับคนพวกนี้ได้เล่า

“คุณพ่อขา ก็ลงไปเจรจากับเขาก็แล้วกัน ให้เสร็จๆเรื่องจะได้ไปกันต่อ หนูหิวแล้วค่ะคุณพ่อ”

อินเดียบอกคุณพ่อ ตามประสาเด็กๆที่ยังมีความคิดไม่ไกลนัก
คุณสมศักดิ์นั่งนิ่ง มองภรรยาและลูกไปมาคล้ายๆว่าจะขอคำปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรกันดี

“ลงไปคุยกับเขาก็ได้ ต้องระวังตัวนะคุณ เอานี่ไปด้วย”


คุณมาลีบอก พร้อมกับเปิดลิ้นชักรถ หยิบเอาปืนและแม๊กกาซีนซึ่งบรรจุลูกกระสุนเต็ม ส่งให้คุณสมศักดิ์

“ดีแล้วครับ ผมจะลงไปคุยกับพวกมันให้รู้เรื่อง จะได้จบๆกันไป แต่คุณและลูกอินเดียอย่าลงจากรถเป็นอันขาดนะครับ ” คุณสมศักดิ์บอกภรรยาและลูกสาว

คุณสมศักดิ์รับปืนมาแล้วก็ยัดซองกระสุนเข้ากับตัวปืนสนิทดีแล้ว ปลดล๊อก ขึ้นลำเอาไว้พร้อมที่จะใช้งานได้ทันทีที่ต้องการ

เขาเอาปืนเหน็บกับขอบกางเกงด้านหน้าตรงพุงแล้วเอาชายเสื้อปิดไว้ พร้อมกับเปิดล๊อกประตู เปิดประตูรถแล้วค่อยๆก้าวลงจากรถ

 

คุณสมศักดิ์ลงมายืนข้างๆประตูรถยังไม่ทันเอ่ยอะไรออกมา ในพริบตานั้นชายคนที่มากระชากประตูในตอนแรกได้แสดงความเป็นเสือร้ายทันที

ยังไม่ทันที่จะรู้ตัวมันก็เอื้อมมือมาจับคอเสื้อคุณสมศักดิ์ขยุ้มเข้าไว้ แล้วเอาฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง ตบไปที่หน้าของคุณสมศักดิ์ ล้มคว่ำลงไปนอนคว่ำที่พื้นทันที ปืนที่คิดว่าจะใช้ป้องกันตัวก็ไม่มีโอกาสได้ชักออกมาเสียแล้ว

 

 

 

ค่ำคืนอันเลวร้าย 1

โดย Patipat Suwanmutcha

วันนี้สายแล้วสมศักดิ์ ชายหนุ่มหน้าตาดีแต่งกายด้วยชุดไปท่องเที่ยว ใส่กางเกงยีนส์สวมเสื้อยืดสีเทาแขนสั้น สวมร้องเท้าผ้าใบชั้นดีสีขาว

เขามีอายุเกือบ 50 ปีแล้ว กำลังหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบหนึ่ง ลงมาจากบนบ้านหลังใหญ่ ที่อยู่ในหมู่บ้านชั้นดีแห่งหนึ่งมีรั้วรอบขอบชิด

เขาหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เอามาใส่ไว้ด้านท้ายรถที่เปิดอ้าเอาไว้แล้ว พลางตะโกนร้องเรียกคุณมาลี ซึ่งเป็นภรรยาของเขาและมีวัยใกล้ๆกัน

คุณมาลีเป็นคนสวย รูปร่างสมส่วน สมกับวัย คุณมาลีกำลังดูความเรียบร้อยของกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกสองใบอยู่บนบ้าน ซึ่งในวันนี้ทั้งคู่มีโปรแกรมจะเดินทางไปเยี่ยมญาติ ที่ต่างจังหวัดทางภาคเหนือจังหวัดหนึ่ง

คุณสมศักดิ์มีฐานะดีจากการประกอบกิจการค้าระหว่างประเทศ คุณสมศักดิ์มีบริษัทที่ประกอบกิจการ เป็นผู้ส่งออกสินค้าของไทยหลายๆอย่างไปยังต่างประเทศ และซื้อสินค้าจากต่างประเทศด้วย

บริษัทของคุณสมศักดิ์เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของคู่ค้าที่อยู่ต่างประเทศ จากการประกอบกิจการที่เจริญรุ่งเรืองมานี้เอง ทำให้คุณสมศักดิ์มีฐานะร่ำรวย มีบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแต่คนชั้นที่ร่ำรวยมากๆมาซื้ออยู่กัน

คุณสมศักดิ์แม้จะมีฐานะดี มีกิจการที่รุ่งเรือง แต่ก็มีรถยนต์ใช้เพียงสองคันกับภรรยา คนละคันเท่านั้น ไม่ได้เวอร์ถึงขนาดบางคนที่มีเงินแล้ว ซื้อรถยนต์มาจอดทิ้งไว้ที่บ้านหลายๆคัน

รถยนต์ของคุณสมศักดิ์ที่จะเอาเดินทางไปในครั้งนี้ เป็นรถ มิตซูบิชิ ปาเจโร่ รุ่นใหม่ เป็นแบบแวน กว้างขวางนั่งสบายและมีกำลังเครื่องยนต์ที่แรง วิ่งได้อึดทนในทุกสภาพ ซึ่งเหมาะสมกับถนนหนทางที่จะเข้าไปในไร่ที่บ้านคุณยายที่ต่างจังหวัดนั้นไม่ดีนัก

“ รีบหน่อยนะครับคุณสายแล้ว เราต้องเดินทางอีกไกลมากๆ บอก อินเดียด้วย อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์อยู่ รีบๆหน่อยนะคุณ ” คุณสมศักดิ์ตะโกนบอกภรรยา ที่อยู่บนบ้าน

“อินเดีย”คือลูกสาวคนเดียวของคุณสมศักดิ์และคุณมาลี อินเดียหรือชื่อจริงว่า ” อินทิรา” ที่ทั้งสองตั้งชื่อเรียกเล่นๆกับลูกสาวว่าอินเดียนั้น

ก็เพราะว่า เมื่อคราวที่คุณสมศักดิ์เดินทางไปดูงานที่รัฐอินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น อินเดียได้ปฏิสนธิที่นั่น

อีก 8 – 9 เดือนต่อมาอินเดียจึงได้เกิดออกมาดูโลกที่ โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นที่ระลึกเขาจึงได้ตั้งชื่อเล่นๆของลูกสาวว่า” “อินเดีย “

ขณะนี้อินเดียเติบใหญ่ เป็นเด็กที่สวยงาม เฉลียวฉลาด และกำลังเรียนระดับชั้นเตรียมอุดม อยู่ที่โรงเรียนมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งใน กทม.

อินเดียเป็นเด็กที่เรียนหนังสือเก่ง แต่ทั้งคุณสมศักดิ์และคุณมาลี ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องให้ลูกสาวเรียนอะไรในวันข้างหน้า
เขาคิดว่าลูกสาวจะเรียนอะไรก็ได้ตามที่ใจของลูกสาวต้องการ แต่ขอให้เรียนให้สำเร็จก็แล้วกัน

ขณะนี้โรงเรียนปิดเทอมใหญ่ คุณสมศักดิ์และคุณมาลีเห็นว่าโรงเรียนปิดเทอมใหญ่ จึงได้ชวนลูกสาวไปเยี่ยมคุณยายที่บ้านในต่างจังหวัด และเป็นการพักผ่อนของพวกเขาไปในตัวด้วย

“ค่ะ ค่ะ กำลังรีบอยู่แล้วค่ะคุณ อินเดียเร็วเข้าคุณพ่อเร่งแล้ว อย่ามัวเล่นโทรศัพท์อยู่นะจ๊ะ “
คุณมาลีหันไปเตือนลูกสาว

คุณสมศักดิ์เดินย้อนขึ้นมาบนบ้าน มาหิ้วกระเป๋าอีกสองใบ พร้อมบอกว่า
“ลูกอย่าลืมเอาคันเบ็ดของพ่อไปด้วยนะลูก ที่นั่นมีลำธารน้ำไหลผ่าน เราจะไปตกปลากัน เหมือนเมื่อคราวที่แล้วนะลูก ”

“ค่ะ คุณพ่อ” อินเดียตอบรับ สายตาก็มองดูที่โทรศัพท์ตลอดเวลา
คุณสมศักดิ์หิ้วกระเป๋าสองใบลงจากบ้านไปแล้ว คุณมาลีถือถุงหิ้วสองสามถุงที่ไปซื้อของกินของใช้บางอย่าง ที่ศูนย์การค้ามาเมื่อวานนี้เพื่อจะเอาไปฝากคุณแม่ของเธอ หล่อนเดินลงมาจากตัวบ้านเอามาใส่ท้ายรถ

พร้อมทั้งอินเดียก็ถือคันเบ็ดและมืออีกข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ของเธอตามลงมา ตามที่คุณพ่อสั่งด้วย

“เอาไว้ที่ท้ายรถนะลูก จะได้ไม่เกะกะที่นั่ง หนูจะได้นอนไปหลับสบายด้วย กว่าจะถึงลูกจะได้นอนเต็มอิ่มละนะ” คุณสมศักดิ์บอกลูกสาว

วันนี้อินเดียใส่กางเกงยีนส์ สวมเสื้อยืดที่สแกนตราโรงเรียนที่หน้าอก สวมรองเท้าผ้าใบสีสวยราคาแพง ดูแล้วอินเดียเป็นเด็กที่ สวยน่ารักที่สุดในตอนนี้

“เราสายมากแล้วนะ ระยะทางก็ไกลมาก กว่าจะถึงคงค่ำพอดี ”

คุณสมศักดิ์ปิดประตูท้ายรถเมื่อเห็นว่าสัมภาระทุกอย่างเอาขึ้นรถหมดแล้ว พร้อมทั้งเดินมาเปิดประตูทางด้านคนขับแล้วเข้านั่งประจำที่ และไม่ลืมที่จะคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย

คุณมาลีก้าวขึ้นรถที่นั่งคู่กับคนขับ เพราะว่าไปไหนมาไหนคุณมาลีนั่งตรงนี้ประจำอยู่แล้ว อินเดียเปิดประตูหลัง และทุ่มตัวขึ้นไปบนเบาะอย่างสบายใจ ที่เบาะหลังมีหมอน ผ้าห่ม ซึ่งรถคันนี้มีของเหล่านี้ประจำอยู่แล้ว

เนื่องจากคุณสมศักดิ์ไม่ได้จ้างแม่บ้านหรือคนเฝ้าบ้าน ก่อนออกรถคุณสมศักดิ์จึงต้องทบทวนสิ่งต่างๆอีกครูหนึ่ง นึกดูว่าประตูหน้าต่างบ้านปิดเรียบร้อยแล้วทุกบาน ล๊อคกุญแจเอาไว้แล้วอย่างดี

ไฟก็ปิดหมดแล้ว เหลือเพียงไฟที่รั้วประตูหน้าบ้าน ปลั๊กต่างๆที่ไม่จำเป็นต้องเสียบคาไว้ก็ถอดออกหมด

ส่วนไฟในบ้านเปิดทิ้งเอาไว้อีกสองสามที่ น้ำก็ปิดเอาไว้แล้วทุกจุด คุณสมศักดิ์คิดทบทวนดูแล้วก็สบายใจ ที่ต้องรอบคอบมากอย่างนี้ เพราะว่าคราวนี้จะไปหลายวันและไม่มีคนเฝ้าบ้านด้วยนั่นเอง

และเมื่อคุณสมศักดิ์นั่งอยู่ที่นั่งคนขับแล้ว สิ่งสุดท้ายที่ต้องตรวจดูความเรียบร้อยก็คือ อาวุธปืน ซึ่งคุณสมศักดิ์ต้องมีติดตัวไปด้วยเมื่อเดินทางไปต่างจังหวัด

คุณสมศักดิ์เอื้อมมือเปิดที่เก็บของจุกจิกหน้ารถทางด้านคุณมาลี เพื่อดูว่าอาวุธปืนยังอยู่เรียบร้อยหรือไม่ เห็นปืนและแถบกระสุนยังอยู่เรียบร้อยดี

เพียงแต่ว่าแถบกระสุนไม่ได้บรรจุเอาไว้ในตัวปืนเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันเผื่อว่าภรรยาและลูกสาวจะมาหยิบเล่น

ปืนของคุณสมศักดิ์ซื้อมานานแล้วเป็นปืน ออโต้ ยี่ห้อ กร๊อก 17 (Glock 17) ขนาด 9 มม.ซึ่งมีน้ำหนักเบาใช้งานง่าย คุณสมศักดิ์ไม่เคยได้เอาออกมาใช้เลย เพราะว่าคุณสมศักดิ์ไม่เคยมีเรื่องกับใคร เพียงแต่มีไว้เพื่อติดตัวในการที่จะเดินทางไปไหนไกลๆเท่านั้น

เมื่อเขาตรวจสิ่งของต่างๆเรียบร้อยเป็นอันแน่ใจแล้ว จึงติดเครื่องยนต์ และเลื่อนรถเพื่อออกเดินทาง เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม กว่าจะได้ออกเดินทางก็ 10 โมงเช้าเข้าไปแล้ว

“เราออกเดินทางกันเลยนะที่รัก ” คุณสมศักดิ์บอกภรรยา

“ค่ะคุณ ไปเลยค่ะ ตั้งใจขับนะคุณ ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ ถึงเมื่อไรก็ช่างมัน รถเราเอง ” คุณมาลีบอก พร้อมกับมองไปข้างหน้า

รถในกรุงเทพฯก็ติดมากเป็นเรื่องปกติของมหานคร กว่าจะออกไปพ้นที่การจราจรคับคั่งก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ออกจากรังสิตไปแล้วรถค่อยโล่ง คุณสมศักดิ์ขับอย่างสบายใจ

แรกๆก็คุยกันไปเสียงอินเดียเจื้อยแจ้ว พร้อมกับดูโทรศัพท์ซึ่งกำลังคุย line กับเพื่อนๆอยู่อย่างไม่วางตา

อีกเกือบสองชั่วโมงต่อมารถจึงเข้าเขตุจังหวัดนครสวรรค์ จึงเลยอาหารมื้อเที่ยงไปแล้ว ทุกคนคิดว่ามื้อเที่ยงนี้จะไม่หยุดทานอาหาร เพราะว่าได้เตรียมขนมปังและนมกล่องมาแล้ว กะว่าจะไปกินมื้อเย็นกันที่ใดที่หนึ่งกันเลย

กว่าจะผ่านกำแพงเพชร เข้าจังหวัดพิษณุโลกก็บ่ายมากแล้ว คุณสมศักดิ์จะหยุดรถบ้างก็ตามปั๊มที่มีคนพลุกพล่าน เพื่อเข้าห้องน้ำ ส่วนภรรยาและลูกก็เข้า Supermarket ที่มีอยู่ตามปั๊มน้ำมันใหญ่ๆโดยเฉพาะปั๊มน้ำมัน ปตท เพื่อซื้อของกินและของขบเคี้ยวบางอย่าง

รถวิ่งออกจากพิษณุโลก ผ่านจังหวัดอุตรดิษฐ์ แล้วขึ้นไปทางจังหวัดแพร๋ เลี้ยวซ้ายผ่านจังหวัดแพร่ไปอีก ซึ่งทางเส้นนี้จะทะลุไปยังจังหวัดพะเยาซึ่งบางตอนเป็นป่าทึบและภูเขาเตี้ยๆ เส้นทางที่แยกเข้าบ้านคุณยายนั้น ยังไม่ถึงตัวจังหวัดพะเยา

ไม่นานนักก็มีทางแยกลงไปทางด้านขวามือเป็นถนนเล็กๆที่จะเข้าไปทางหมู่บ้าน ที่แถวนี้เป็นเรือกสวนไร่นาส่วนใหญ่เป็นไร่ข้าวโพดต้นสูงท่วมหัวทั้งนั้น

โดยมีเสาปักอยู่มีลวดหนามล้อมรอบที่เป็นที่ใครที่มัน ยาวสุดลูกหูลูกตา ตรงช่วงนี้จะไม่มีบ้านคนเลย จะมีบ้างก็เป็นโรงนาและเป็นที่เฝ้าไร่เท่านั้น มองไปข้างหน้าจะเห็นทิวเขาลิบๆอยู่ท่ามกลางอากาศที่เย็นมากแล้ว

อาหารเย็นก็ยังไม่ได้กินกันคิดว่าไปกินกันที่บ้านคุณยายเลย และคิดว่าอีกไม่นานก็จะถึงบ้านคุณยายแล้ว ทั้งสามกินขนมและนมกล่องเข้าไปบ้างแล้วจึงไม่ค่อยรู้สึกหิวเท่าไรนัก

คุณสมศักดิ์เลี้ยวรถวิ่งไปตามถนนเล็กๆลาดยางซึ่งแยกจากทางใหญ่ เป็นถนนที่จะเข้าไปบ้านคุณแม่ของคุณมาลี คุณสมศักดิ์คิดว่าเข้าทางเส้นทางนี้คงไม่ผิดแน่นอน เพราะว่าเคยมาหลายครั้งแล้วแม้ว่านานๆจะมาสักครั้งก็ตาม

ขณะนี้อากาศมืดแล้วต้องเปิดไฟหน้ารถให้ส่องสว่าง ท่ามกลางความเงียบคนทั้งสามไม่ได้คุยอะไรกันเลย จิตใจจดจ่อไปที่บ้านคุณยายแล้ว

บ้านคุณยายอยู่ใกล้เชิงเขาโน้นอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ คุณยายอายุก็มากแล้ว คุณมาลีเคยบอกคุณแม่เสมอว่า อยากให้ไปอยู่ที่กรุงเทพฯด้วยกัน แต่แกก็ไม่ยอมไป

แกบอกว่าเคยอยู่ที่นี่แล้วก็สบายดี มีพี่น้องอีกหลายคนอยู่ด้วยไม่ต้องเป็นห่วงอะไร คุณมาลีก็เลยไม่อยากเซ้าซี้ นานๆคุณมาลีจึงมาเยี่ยมครั้งหนึ่งเหมือนในครั้งนี้

คุณสมศักดิ์ขับรถด้วยความระมัดระวัง มองไปข้างหน้าไม่ละสายตา “ตอนนี้วิ่งมาได้หลายสิบกิโลแล้ว อีกไม่นานก็ถึง “ คุณสมศักดิ์บอกลูกสาว

“คุณพ่อคะ ทำไมตรงนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย หนูติดต่อกับเพื่อนไม่ได้ มันหายไปเฉยๆค่ะพ่อ ” อินเดียบอกคุณพ่อของเธอ

“พ่อก็ไม่รู้นะ ทำไมเขาจึงไม่ตั้งเสาสัญญาณ เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้วลูก อดทนหน่อยนะที่รัก”
คุณสมศักดิ์บอกลูกแล้วยิ้มให้ พลางมองที่กระจกมองหลัง

“มีคนตามเรามาแล้วละคุณ ผมเห็นมีแสงไฟของรถวิ่งตามเรามาอย่างเร็วด้วยซี ดีแล้วจะได้มีเพื่อนเดินทางกันนะครับ”

คุณสมศักดิ์บอกภรรยา คุณมาลีเอี้ยวตัวมองไปทางด้านหลังรถ ก็จริงอย่างที่สามีบอก

“เดี๋ยวคงตามเรามาทัน ดีแล้วจะได้ไปด้วยกัน คงเป็นคนในหมู่บ้านแหละนะคะ” คุณมาลีบอกสามี

สักครู่หนึ่งรถที่วิ่งตามมานั้นก็มาทันรถคุณสมศักดิ์ซึ่งขับอย่างช้าๆเพราะว่าทางแคบและไม่ดี รถคันที่ตามมานั้นเป็นรถที่เก่ามาก เป็นรถเก๋งสีเทา ซึ่งคงไม่เคยล้างเลย มีฝุ่นจับทั้งคัน

รถคันที่ตามมาเร่งเครื่องทำท่าจะแซง แต่ก็ไม่แซงขับตีคู่มากับรถคุณสมศักดิ์ แม้ว่าคุณสมศักดิ์จะชะลอรถให้แล้วก็ตาม

รถทั้งสองตีคู่กันมาได้เดี๋ยวหนึ่ง คุณสมศักดิ์ ภรรยาและลูก เหลียวมองไปที่รถคันนั้น เห็นมีคนนั่งมาอยู่สามคน สักครู่หนึ่ง คนที่นั่งข้างคนขับท่าทางจะยังอายุไม่เกินสามสิบปี ไว้ผมยาวรุงรังเป็นกระเซิงเปิดกระจกลงมา แล้วตะโกนบอกว่า

“เดี๋ยวคุณ จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน จอดก่อน จอดก่อน ลงมาคุยกันก่อน คุณเบียดรถผมเกือบตกถนน เราต้องคุยกันแล้ว ”

 

สวัสดีครับ ชีวิตในวัยเด็กของเรานั้น ทุกคนมักจะผ่านเรื่องต่างๆมามากมาย ผมก็เช่นเดียวกัน มีเรื่องหนึ่งที่จะมาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังกัน และขอรับรองว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมครับ

 

ท่าน้ำที่โรงเลื่อยร้าง
เขียนโดย Patipat Suwanmutcha

 ตอนใกล้ค่ำวันนั้นผมกับไอ้เหม่งเพื่อนรุ่นน้องของผมซึ่งมีบ้านติดกัน ซึ่งเป็นห้องแถวในตลาด

นั่งกินข้าวกันอยู่ที่ร้านหน้าบ้านที่ต่างคนต่างตักข้าวกันมา และมีเพื่อนเด็กตลาดเจ็ดเสมียนอีกหลายคนนั่งคุยกันอยู่ด้วย ไอ้เหม่งมันพูดกับผมว่า

"พี่เก้ว ผมว่าที่ริมน้ำท่าโรงเลื่อยที่มีต้นกอไผ่และต้นก้ามปูใหญ่รกครึ้มนั้น ท่าทางจะมีปลาชุมอย่างน้อยก็คงจะมีปลากดตัวใหญ่ ๆ ปลาตะเพียน ปลาค้าว ค่ำๆนี้เราไปวางเบ็ดกันที่นั่นดีไหม"

ไอ้เหม่งมันก็คิดแต่เรื่องหาปลาของมัน ไอ้เหม่งนับว่าเป็นมือเซียนขั้นเทพในการหาปลา ทุกครั้งที่พวกเราไปลงจับปลาตามบ่อหรือที่อื่นๆกัน บางคนจับไม่ได้เลย แต่ไอ้เหม่งจับได้มากที่สุด จึงนับว่ามันมีความสามารถพิเศษที่เรียกว่าขั้นเทพ

การออกหาปลานั้น ป้าม่อม แม่ของไอ้เหม่งและพวกพี่ๆของมันไม่ค่อยด่าว่าเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องยิงนกนั้นน่ะไม่ได้เลยป้าม่อมแกตีตาย แกบอกว่าอย่าไปฆ่ามันจะเป็นบาป เพราะว่าแกเคยห้ามไว้แล้วในเรื่องการยิงนก ส่วนลุงเนียร (พ่อไอ้เหม่ง) นั้น แกก็ทำงานถ่ายรูปของแกไปไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องเด็กๆสักเท่าไรนัก

ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าทำไมผมมีเพื่อน เฉพาะไอ้เหม่งคนเดียวหรือ ไม่ใช่นะครับความจริงผมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันในหมู่บ้านที่ผมอยู่นี้ เช่น ไอ้ธร ไอ้วี ไอ้โห้ ไอ้อู๊ด ไอ้มูล ไอ้โล ที่อายุใกล้เคียงกันจริงๆ ก็เคยไปด้วยกันในบางที

ส่วนไอ้โลและไอ้คดน้องชายของไอ้โล มันก็เคยไปยิงนกและตกปลาด้วยกันกับพวกผมบ่อยๆ แต่ละครั้งก็สลับสับเปลี่ยนกันไป แล้วแต่ว่าใครจะมาชวนผม ถ้าเห็นดีผมก็ไปด้วย

มาวันนี้ขณะนั่งกินข้าวที่หน้าบ้านอยู่ ไอ้เหม่งมันมาเสนอผมอีกแล้ว ให้ลองไปดูตรงท่าน้ำโรงเลื่อย ซึ่งท่าน้ำโรงเลื่อยนี้อยู่เลยท่าโรงสีไปหน่อย โรงเลื่อยนี้ผมก็เข้าใจเอาว่าเป็นโรงเลื่อยที่ร้างแล้วไม่มีคนอยู่ ต้นไม้ขึ้นรกครึ้มไปหมด

ผมบอกไอ้เหม่งว่า “ค่ำนี้ยังไม่ไปหรอก อย่างน้อยต้องพรุ่งนี้เช้า เราลอดรั้วสังกะสีเข้าไปที่ท่าน้ำดูลาดเลากันก่อน เผื่อว่ามีคนเฝ้าเราก็ต้องขออนุญาตเขาก่อน หรือว่าบางทีเขามีหมาแล้วกลางคืนจะปล่อยหมาเฝ้า มันจะกัดเราตาย นะมึง”

“ไอ้เหม่งพนักหน้ารับรู้ที่ผมบอก” เป็นอย่างนี้ทุกทีไอ้เหม่งมันตามใจผมเสมอมาตั้งแต่คบกันแล้ว

ดังนั้นในตอนสายของวันรุ่งขึ้น ผมกับไอ้เหม่งก็เตรียมตัวเอาหนังสติ๊กใส่กระเป๋าพร้อมด้วยกระสุนดินกลมๆที่ตากแห้งแล้วใส่กระเป๋าอีกข้างไปด้วย

แล้วพากันแบกคันเบ็ดกันคนละคัน พร้อมด้วยเหยื่อซึ่งเป็นไส้เดือนเป็นๆ ซึ่งผมกับไอ้เหม่งไปขุดเอามาใส่กระป๋องนม แล้วเอาดินร่วนๆกลบเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้

สำหรับเป็นเหยื่อเกี่ยวกับเบ็ดตกปลา ผมกับไอ้เหม่งเดินลัดเลาะตามกันไป จากบ้านห้องแถวที่ในตลาด

จุดหมายคือโรงเลื่อยไม้เก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ก็ไม่ไกลหรอกครับแค่เดินผ่านโบสถ์ ศาลา แล้วก็ท่าวัดทะลุไปถึงท่าน้ำของโรงสีไฟเจ็ดเสมียนซึ่งเปิดกิจการอยู่

ท่าโรงเลื่อยนี้ก็ติดกับท่าโรงสีนั่นเอง แต่เขากั้นรั้วด้วยสังกะสีเก่าๆสูงขนาด 6 ฟุต ซึ่งสูงเลยหัว แสดงให้รู้ว่าเป็นเขตของใครของมัน

ที่ท่าโรงสีนั้นเป็นที่จอดเรือของพวกที่เอาข้าวเปลือกมาสี และมารับข้าวสารที่สีจากข้าวเปลือกเสร็จแล้ว และเป็นที่อาศัยจอดเรือของผู้ที่บ้านอยู่ฝั่งแม่น้ำ ตรงข้ามกับโรงสี ที่จะมาธุระที่วัดด้วย

 ท่าโรงมีคนพลุกพล่านมากเพราะว่าดำเนินกิจการอยู่ ไม่ค่อยมีปลามาอยู่แถวนี้หรอก ผมเคยมาตกปลาที่ท่าโรงสีนี้หลายหนกับพวกไอ้ธร ไอ้โห้ ไอ้อู๊ด ก็เคย

ไม่ค่อยได้ปลาธรรมดาหรอกครับ จะได้บ้างก็เป็นปลากระทิง ที่ท่าโรงสีนี้เขาจะใช้ลำไม้ไผ่ลำใหญ่ๆจำนวนมากมาผูกเป็นแพใหญ่ เพื่อลำเลียงข้าวเปลือกที่มาสีและข้าวสารที่สีเสร็จแล้ว หรือสินค้าอื่นๆที่มาอาศัยท่าโรงสีนี้ลงเรือที่แพนี้เพื่อขนส่งทางเรือ

 ปลายไม้ไผ่ลำโตที่เขา นำมาผูกเป็นแพนั้น บางลำก็มีรูเป็นกระบอก บางลำเขาตัดพอดีกับข้อมันก็ไม่มีรูกระบอก

รูกระบอกไม้ไผ่ลำที่อยู่ด้านล่างและจมน้ำนี้แหละที่ เป็นที่อาศัยของปลากระทิง การจับมันหรือตกมันนั้นก็เอาเหยื่อเกี่ยวกับเบ็ด แล้วหย่อนลงไปตรงปลายกระบอกนั้นถ้ามีปลากระทิงอยู่ในนั้นมันก็จะพุ่งออกมากินเหยื่อทันที

 ปลากระทิงนี้ เป็นปลาตัวกลมๆ ที่มีหนังลายเหมือนงูมีเกล็ดเล็กๆ จนมองแทบไม่รู้ว่าเป็นปลามีเกล็ด มีเมือกเล็กน้อยมีเนื้อเยอะ

คนที่เคยได้กินแล้วบอกว่าอร่อยมาก ถ้าคนทำเป็นจะไม่เหม็นคาว ผมมาตกปลากระทิงนี้ที่ท่าโรงสีบ่อยๆ

 และบางครั้งผมกับไอ้เหม่งก็ตกได้ครั้งละหลายตัว เมื่อผมหิ้วกลับไปที่ตลาดมีคนแก่ๆที่ตลาดหลายคน เช่นแป๊ะอู๋เตี่ยเฮียแก่เล็ก ตาเอี๋ย เตี่ยไอ้โล และอีกหลายคนที่บ้านอยู่หลังตลาด ฝั่งบ้านไอ้ธร ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครมั่ง มาขอซื้อปลากระทิงผมบ่อยๆ ได้ตัวละบาท สมัยนั้นก็ไม่เลวนะ

ผมเคยไปดูเขาทำปลากระทิง ที่บ้านหลังตลาดแถวเก่าซึ่งติดกับคลอง ผมกับไอ้เหม่งจำได้ว่าเขาทำเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ประกอบเป็นอาหาร เขาบอกว่าปลากระทิงสดๆนั้นทำอาหารอร่อยได้หลายอย่างมาก (ผมก็ว่าน่าจะเหมือนกับปลาทั่วไปแหละ )

วิธีการทำเท่าที่ผมเห็นที่เขาทำเสร็จแล้วคือหั่นเป็นท่อนๆนั้น ก็คือขั้นแรกเขานำปลานี้ไปล้างเสียก่อน แต่เวลาล้างต้องเคล้าเกลือให้ทั่วก่อนแล้วล้างน้ำหลายๆ ครั้ง

ชาวบ้านมักจะนำปลากระทิงนี้ทำเป็น ปลากระทิงต้มยำ ต้มโคล้ง ปรุงรสจัดให้เปรี้ยวจากมะขามสด แต่ก่อนจะทำต้องล้างให้หมดเมือกจริงๆ แล้วย่างไฟให้มีกลิ่นหอมเสียก่อน

แล้วจึงนำไปต้มในน้ำที่เดือดจัด ใส่เครื่องเทศต่างๆในการต้มยำลงไปก่อน เพื่อให้กลิ่นหอมออกมาดับกลิ่นคาว แล้วจึงใส่ชิ้นเนื้อปลาเนื้อปลาจะสุกหวานอร่อยแซบถึงใจผู้ที่ได้กินจริงๆ

 จะอย่างไรก็แล้วแต่ เชื่อไหมผมกับไอ้เหม่งไม่เคยได้กินเนื้อปลากระทิงที่ผมตกได้เลย เพราะว่าแม่ของผมไม่ยอมทำให้กินเด็ดขาด

ยิ่งป้าม่อมแม่ไอ้เหม่งยิ่งแล้วใหญ่ แกค่อนข้างจะไม่ชอบเอามากๆ เขาว่ามันเหมือนงู ปลาอื่นๆมีกินถมไปทำไมไม่กินแม่ผมบ่นอย่างนี้ อ้าวแล้วผมตกมาทำไมตกมาก็เพราะจะเอาไปขายให้กับคนที่ตลาดที่เขาต้องการนะซี

 ตัวละบาทหรือสองบาทแล้วแบ่งตังค์กับไอ้เหม่งเก็บเอาไว้จะ ไปเที่ยวงานหาดทรายที่โพธาราม กับเฮียแก่เล็กลูกแป๊ะอู๋เพราะได้นัดกันเอาไว้แล้วประมาณกลางเดือนมกราคมนี้แหละ

แล้วไอ้เหม่งล่ะไม่เอาไปให้ทางบ้านมันต้มกินบ้างหรือ ป้าม่อมแม่มันเขาก็ไม่เอาหรอกครับ บอกให้เอาไปให้คนที่เขาชอบเถอะไป๊..... ป้าม่อมแกว่าอย่างนั้น แล้วไอ้เหม่งก็โดนแม่มันบ่นอานไปเลย

 ผมดั้นด้นมาถึงท่าโรงสีแล้วก็เลยเล่านอกเรื่องไป มองจากโรงสี ไปยังท่าโรงเลื่อยซึ่งไม่ไกลกันนัก เห็นมีต้นก้ามปูใหญ่ สองสามต้นขึ้นอยู่ และมีกอไผ่ขึ้นอยู่ที่ริมน้ำ ชายน้ำนั้นเป็นต้อนอ้อขึ้นอยู่รก

ผมกับไอ้เหม่งเดินตรงไปยังรั้วสักกะสีที่เขาตีกันเป็นเขตุเอาไว้ แล้วเอามือช่วยกันดึงเอาสังกะสีที่อ้าออกอยู่แล้ว คงมีคนเคยมุดเข้าไปแล้วเป็นแน่ ดึงออกพอให้มุดเข้าไปได้

ไอ้เหม่งมุดเข้าไปก่อน ผมส่งคันเบ็ดและเหยื่อไส้เดือนในกระป๋องตามเข้าไป เสร็จแล้วก็มุดเข้าไป

โผล่เข้าไปก็เห็นต้นก้ามปูใหญ่ร่มครึ้มมีดอกมีใบและมีฝักของต้นก้ามปูนี้ หล่นลงมาทับถมกันหนาเตอะ คงจะนานมาแล้วที่ไม่มีคนมาทำความสะอาดเลย ตรงริมน้ำไต้ต้นก้ามปูนั้นมีศาลาริมน้ำเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง มันเก่าผุพังเต็มที เสาข้างหนึ่งอยู่ในน้ำ

เราสองคนแบกคันเบ็ดเดินลุยหญ้าที่รกทึบ เนื่องจากไม่มีคนมาตัดและปล่อยไว้เป็นเวลานาน ตรงไปยังศาลาเล็กๆริมน้ำ ซึ่งมีสภาพผุพังแล้ว เราสองคนเดินลุยหญ้าเข้าไปที่ศาลาเล็กริมน้ำหลังนั้น

ผมพูดกับไอ้เหม่งว่า “ เหม่งโว้ยท่าน้ำโรงเลื่อยนี้ทำไมมันจึงรกมากขนาดนี้วะ”

ไอ้เหม่งว่า 
“อย่างนี้ซิดีไม่ค่อยมีคนมากวนปลา ปลาคงมีเยอะ รกก็ชั่งมัน”

 แล้วผมกับไอ้เหม่งก็เดินไปที่ศาลาท่าน้ำนั้นเอามือปัดกวาดใบไม้ที่กระดานพื้นเสียหน่อย แล้วเอาคันเบ็ดกับกระป๋องเหยื่อวางไว้ก่อน แล้วนั่งลงคุยปรึกษากันถึงลู่ทางที่จะวางเบ็ด ตกปลากันตรงไหนดี พร้อมๆกับสอดส่ายสายตา

มองจากตลิ่งเข้าไปยังบริเวณโรงเลื่อยเก่านี้ ทางด้านขวามือติดกับกำแพงปูนของโรงสี ยังมีบ้านหลังใหญ่อีกหลังหนึ่งปลูกอยู่

ท่าทางจะไม่มีคนเฝ้าไม่มีความเคลื่อนไหวไม่มีแสงไฟอะไรทั้งนั้น บ้านใหญ่หลังนี้ผมเข้าใจว่าคงจะเป็นที่อยู่ของเจ้าของ และคงจะทำเป็นที่ทำงานด้วย ในตอนที่เขายังประกอบกิจการโรงเลื่อยอยู่เมื่อก่อนโน้น

เวลานั้นยังไม่ถึงสี่โมงเช้าน้ำในแม่น้ำแม่กลองไหลเอื่อยๆ โดยเฉพาะที่ท่าโรงเลื่อยนี้ น้ำจะวิ่งไหลเป็นสายตรงดิ่งมาจากทางวัดสนามชัย แล้วเลยไปทางท่าใหญ่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน

แล้วน้ำจะเชี่ยวอีกทีก็ตรงวัดใหม่ชำนาญ เพราะตรงนั้นเป็นทางหักเลี้ยวของสายน้ำ ลำน้ำวิ่งเข้ากระแทกตลิ่งที่หักเลี้ยวตรงวัดใหม่ชำนาญนั้น น้ำวนเป็นหลุมลึกน่ากลัวมาก แล้วพุ่งออกทางขวาไปผ่านหน้าวัดวัดบ้านซ่องอีกทีหนึ่ง

มีอยู่คราวหนึ่ง ผมกับเพื่อนๆอีกหลายคนในตลาดเจ็ดเสมียนนี้ วิ่งแข่งกันไปดูเขาจับปลาตรงคุ้งน้ำหน้าวัดใหม่ชำนาญ ที่น้ำไหลวนดูดเป็นหลุมลึกลงไป

วันนั้นจำได้ว่ามีคนจากที่ไหนไม่รู้สมคบกับคนที่เจ็ดเสมียนนั้น ประดิษฐ์ลูกระเบิดที่ระเบิดในน้ำได้ แล้วไปหย่อนระเบิดเอาไว้ต้นๆน้ำ แถวๆกลางแม่น้ำตรงท่าใหญ่แล้วรีบพายเรือหนีไป

สักครู่ได้ยินเสียงทึบๆกระเทือนๆอยู่ไต้น้ำบริเวณท่าใหญ่ ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นก็เห็นปลาใหญ่น้อยทั้งหลาย ในแม่น้ำนั้นลอยขึ้นมาเป็นแพขาวไปหมด บางตัวก็ตายสนิทแล้วแต่บางตัวที่เป็นปลาใหญ่หน่อย ก็ยังดิ้นกระแด่วอยู่

ฝ่ายพวกที่พายเรือหนีแรงระเบิดนั้นก็หวนกลับมาอีกครั้ง พร้อมด้วยพรรคพวกที่ได้แนะกันไว้อีกหลายลำ มีอุปกรณ์ เช่น สวิง และถังสำหรับใส่ปลา รีบมาจับปลาที่มองเห็น มันลอยหงายท้องป่องเป็นแพอยู่

มีพวกเจ็ดเสมียนหลายคนเหมือนกัน ที่เป็นคนโตแล้ว รีบว่ายน้ำออกไปจับกันกับเขาด้วยได้มาคนละหลายๆตัว แต่ถ้าหากได้ตัวใหญ่ๆเช่นปลาค้าว ปลายี่สก ปลาตะเพียน ปลากราย ที่ลำตัวแบนๆมีจุดดำๆไปตลอดจนถึงหาง

คนที่เป็นผู้หย่อนระเบิดลงน้ำนั้น ก็จะพายเรือมาขอเอาคืนไปเสียฉิบ เขาบอกว่าเขาเป็นผู้ลงทุนเขาก็ต้องได้มากๆหน่อย

บางรายมีเรื่องกันไม่ยอมให้ปลาเขา บอกว่าปลามันอยู่ในน้ำไม่มีเจ้าของจะเอาไปได้อย่างไร มีการเอาพายฟาดกันด้วยทะเลาะกันเป็นการใหญ่

สายน้ำตรงศาลาหลังเล็ก ที่เรานั่งพักกันอยู่ภายในรั้วโรงเลื่อยนั้นยังไหลเอื่อยๆ พัดพุ่มต้นอ้อที่อยู่ชายๆน้ำสั่นระริก ต้นก้ามปูใหญ่สองต้นที่ขึ้นอยู่ริมน้ำให้ร่มเงามืดครึ้ม

เราสองคนนั่งดูบริเวณรอบๆสถานที่กันหลายรอบ จริงๆแล้วเราไม่ค่อยได้มาหาปลาในบริเวณนี้มาก่อนหรอก โดยมากมักจะไปหากันแถวตีนท่าที่ไม่เปลี่ยวนัก

วันนี้ไอ้เหม่งมันเป็นคนออกหัวคิด ว่าทางนี้น่าจะมีปลาชุม ตามที่ได้กล่าวมาแล้วผมก็เห็นดีด้วย

นั่งคุยกันสักพักเพลพอดีผมจึงได้เริ่ม เอาคันเบ็ดที่วางไว้กับพื้นศาลานั้น มาคลี่สายเบ็ดออกไม่ให้มันพันกัน

ไอ้เหม่งก็เตรียมตัวทำแบบผม ผมเอาเหยื่อซึ่งเป็นไส้เดือนยังเป็นๆอยู่ มาเกี่ยวกับตัวเบ็ดเกี่ยวไปหลายๆรอบให้มันเป็นก้อนโตๆ นี่เป็นแบบเกี่ยวเหยื่อเพื่อตกปลาตัวใหญ่ๆนะ ถ้าบังเอิญปลาใหญ่ๆมันเห็นเหยื่ออย่างนี้ละก็ มันก็จะรีบฮุบทันที

ผมกับไอ้เหม่งนั่งตกปลากัน อยู่ที่ริมศาลานั้นจนกระทั่งเที่ยง ยังไม่ได้ปลาเลยสักตัว เลยเที่ยงไปมากแล้วรู้สึกหิวข้าว ผมก็เลยบอกไอ้เหม่งว่า

“เฮ้ยเหม่งเรากลับกันเถอะ มึงบอกว่าปลาแถวนี้ต้องมีเยอะไง จนป่านนี้แล้วยังไม่มากินเบ็ดเราสักตัว หิวข้าวแล้วโว้ย”

“ไอ้เหม่งบอกว่า อีกสักประเดี๋ยวน่าให้ผมประเดิมสักตัวก่อนนะพี่เก้ว 
"
ผมบอกว่า “จะบ่ายแล้ว เรากลับไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า เรื่องอื่นแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีไหม”

ไอ้เหม่งก็เห็นดีด้วย เพราะว่ามันก็หิวข้าวเหมือนกัน
เราจึงเก็บคันเบ็ดและเดินกลับบ้าน ผ่านท่าโรงสีและท่าวัดเหมือนเมื่อขามา

ก่อนจะเข้าบ้าน ไอ้เหม่งมันก็มีความคิดและบอกให้ผมฟังอีกว่า 
“พี่เก้ว ผมว่าเอาอย่างนี้ไหมตอนค่ำๆวันนี้เราย้อนกลับไปที่นั่นอีกที คราวนี้เอาเบ็ดไปวางเลยกันดีกว่า ปักไว้สักห้าหกคันแล้วพอตอนเช้าวันพรุ่งนี้ค่อยไปกู้กัน ผมยังข้องใจไม่หายนะพี่ ว่าไอ้ทำเลตรงนั้นมันน่าจะต้องมีปลาเยอะแน่ๆเลย”

ผมฟังไอ้เหม่งมันเสนอมาแล้ว มาคิดดูก็เห็นด้วยกับมัน ว่าตรงนั้นที่จริงแล้วมันควรจะมีปลามากมาย ผมก็บอกมันว่า

“มันจะมีมากขนาดนั้นเลยหรือว่ะ"

“เชื่อผมสิ ผมดูไม่ผิดหรอก”

ทีแรกผมก็ยังทำท่าอิดออดอยู่ ไอ้เหม่งมันคงกลัวว่าผมจะไม่ไปด้วย

“เอาน่าไอ้เหม่งว่า ลองไปดูกันอีกสักครั้ง ไปปักเบ็ดกันเดี๋ยวเดียวก็กลับ ไม่ได้ไปนั่งกันนานนี่นา แล้วพรุ่งนี้เช้าวันเสาร์เราค่อยไปกู้กัน ค่ำนี้แม่ผมก็ไม่อยู่ไปงานศพ ตรงบ้านข้ามทางรถไฟไปนั่น"

เออ !จริงๆด้วยผมคิดได้แม่ผมก็ไม่อยู่ ไปงานศพลุงปลูกกับแม่ไอ้เหม่งมันเหมือนกัน เราคงจะกลับมากันก่อนแม่ของเรากลับมาจากงานศพนั่นเทียว

เพราะว่าถ้าค่ำมืดแล้วเวลาจะออกไปไหน ก็ต้องบอกพ่อแม่หรือผู้ใหญ่เสียก่อน ในกรณีนี้จึงไม่ต้องบอก เพราะว่าเราจะรีบไปปักเบ็ดและก็จะรีบกลับมาก่อนเขากลับ จะได้ไม่ถูกดุและอาจจะโดนทำโทษด้วย

คิดได้ดังนั้นแล้วก็เลยตกลงกับไอ้เหม่งว่าราวๆสัก ๖ โมงเย็นกว่าๆจะเตรียมเครื่องมือให้พร้อมแล้วเจอกัน

แล้วผมก็ไปเล่นขว้างลูกโจ๊ว (ลูกข่าง) กับพวกไอ้อู๊ด ไอ้โห้ และเด็กหลายคนที่หลังสถานีรถไฟ พอเย็นหน่อยผมก็มานั่งเล่นที่ร้านหน้าบ้าน

ฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน มี เจ๊จรัส ลูกป้าม่อมขายปูนกินกับหมากที่มีบ้านอยู่เลยโรงเลื่อยไปทางวัดสนามชัย พี่สะอาง กับพี่สะอาด ซึ่งเป็นช่างทำผมอยู่ในตลาด

และคนอื่นอีกหลายคนเขาคุยกันท่าทางสนุกสนาน เห็นหัวเราะกันครืน แต่ผมก็จำไม่ได้แล้ว ว่าคุยกันเรื่องอะไรมั่ง

ตกค่ำวันนั้นไอ้เหม่งมันก็เตรียมพร้อม มีเบ็ดที่จะเอาไปปักไว้หลายคัน สำหรับผมหาตะเกียงโป๊ะเก่าๆได้ลูกหนึ่ง เห็นแม่บอกว่าใช้มาตั้งแต่สมัยสงคราม ตอนผมเกิดพอดี

เวลามีความจำเป็นก็ใช้จุดเรื่อยมา (ไม่เห็นไฟฉาย ผมหาไม่เจอ หรือแม่จะเอาไปงานศพ)

และเหยื่อซึ่งเป็นไส้เดือนอีกกระป๋องหนึ่ง ผมถือไม้รวกอันเหมาะมือไปด้วยอันหนึ่ง เผื่อหมาที่วัดหรือที่โรงสีไล่กัดจะได้ตีมันเพราะว่าขากลับจะมืด และเอาไว้เผื่อตีงูด้วยเพราะสถานที่มันรกเหลือเกิน

เกือบทุ่มแล้วผมกับไอ้เหม่งแบกคันเบ็ดหลายคันที่จะเอาไปปัก ผมกับไอ้เหม่งเดินผ่านตลาด เห็นมีกลุ่มเด็กหญิงที่ตลาดนั่งคุยกันที่หน้าบ้านอี๊น้อยซึ่งเป็นร้านขายของชำ โดยไม่ได้สนใจผมทั้งสองคน

อีกประเดี๋ยวเราก็เดินผ่านท่าวัด ซึ่งตอนนี้มืดแล้วเห็นแสงไฟที่วัดยังเปิดสว่างอยู่ หมาที่วัดเห็นคนเดิน ตะคุ่มๆอยู่ก็เห่ากันเกรียว แต่ผมก็ไม่กลัวอะไรหรอกเพราะว่าผมชินเสียแล้ว

เพราะว่าเมื่อวันออกพรรษาที่ผ่านมา ผมกับไอ้เหม่งก็มาสมัคร เป็นลูกศิษย์วัดของ หลวงตาโก๋ ได้สามวันก็ลาออก จะมาเป็นอีกก็เฉพาะหน้าเทศกาลเท่านั้น ขนมที่วัดมากมายดี

อากาศซึ่งมืดครึ้มที่เขางูซึ่งอยู่ไกลออกไปลิบๆ ตั้งแต่ตอนบ่ายพอถึงตอนนี้เริ่มมีลมแรงมาทางบ้านเรา ฝนก็เริ่มจะลงเม็ด เปาะแปะ ถูกตัวเราบ้างแล้ว ผมบอกไอ้เหม่งว่า

“ฝนมันจะตกหนักหรือเปล่าก็ไม่รู้ซี ชักไม่ค่อยจะดีแล้วนะ เอาไว้ พรุ่งนี้ค่อยลงมือกันใหม่จะดีไหม” ผมหันมาถามไอ้เหม่ง
ไอ้เหม่งว่า

" ฝนนิดหน่อยน่า เรามาถึงตรงนี้และเตรียมอะไรมาแล้ว นี่ก็เกือบถึงแล้ว ปักเบ็ดเดี๋ยวเดียว เราไม่ได้ยืนตกกันนี่นาคงไม่นานหรอก "

"เอ้าไปก็ไป " ผมว่า แล้วเราก็มาถึงท่าโรงสีพอดีกับฝนที่ตกลงมาหนาขึ้น

ผมกับไอ้เหม่งรีบตรงไปยังรั้วสังกะสี มุดรั้วสังกะสีตรงที่เดิมของรั้วโรงเลื่อยร้างที่ผุพัง เข้าไปเดินฝ่าต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นรกมากนั้นเสื้อกางเกงเริ่มเปียกเพราะฝน นิดเดียวเท่านั้นก็มาถึงยังจุดหมายของเรา คือที่ศาลาเก่าๆ ท่าน้ำนั้น

เข้าไปที่ศาลาเล็กๆเก่าๆแล้วผมจุดตะเกียงโป๊ะด้วยไม่ขีดที่ติดตัวมา ติดแล้วก็ไขให้สว่างขึ้น ส่วนไอ้เหม่งมันก็รีบเอาเหยื่อไส้เดือนเกี่ยวเบ็ด ห้าอันนั้นด้วยความชำนาญ ฝนตกลงมามากกว่าเดิมนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับ ซู่ลงมาทีเดียว เปียกเสื้อพอชื้นๆ

“พี่เก้ว” ไอ้เหม่งมันเรียกผม แล้วมันก็พูดขึ้น

" พี่เอาตะเกียงวางไว้ตรงนั้นแหละ แล้วช่วยกันถือคันเบ็ดที่เกี่ยวเหยื่อแล้วนี้ไปปักกันเถอะ ไม่ต้องไปไกลหรอกนะเว้นระยะกันนิดหน่อยก็พอ "

แล้วมันก็เดินถือคันเบ็ดนำหน้าผมเหยียบลงไปที่ชายน้ำริมตลิ่งไต้ร่มต้นก้ามปูซึ่งมีต้นอ้อขึ้นรกอยู่ ตรงใกล้ๆกับกอไผ่ที่บางส่วนขึ้นอยู่ในน้ำนั้น

ท่ามกลางความมืดสลัวๆ ต้นก้ามปูใหญ่โบราณนั้นกิ่งก้านของมันยังช่วยบดบังความสว่างของท้องฟ้าให้มืดลงอีก ฝนก็ยังโปรยปรายมาเป็นระยะ

ผมกับไอ้เหม่ง เดินท่องน้ำดังจ๋อมๆหาทำเลที่จะปักเบ็ดให้ได้ที่ดีที่สุด บางตอนลึกถึงโคนขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือคันเบ็ดนั้นของผม ก็คอยปาดฝนที่ตกลงมาถูกหน้าที่หนาเม็ดขึ้น เสียงไอ้เหม่งว่า

“พี่เก้วปักได้บ้างหรือยังผมปักได้สามอันแล้วนะ ผมว่า พรุ่งนี้อย่างน้อยก็สี่ตัวแหละต้องได้แน่นอน”

ผมก็พยักหน้าแต่มันจะมองเห็นผมพยักหน้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะว่าตะเกียงโป๊ะส่องแสงมาไม่ถึง

ผมเห็นฝนทำท่าจะตกลงมามากแล้ว ผมจึงปักเบ็ดสองอันที่อยู่ในมือผมไกลจากไอ้เหม่งมันหน่อยหนึ่ง แล้วลุยน้ำที่อยู่เลยเข่าขึ้นมาอีก เสียงหมาที่โรงสีมันเห่าหอน ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกัน

ผมเดินกลับมาที่ศาลาเล็กนั้น เห็นไอ้เหม่งมันปักเบ็ดเสร็จก่อนผมแล้วมายืนรอผมอยู่ตรงศาลาเล็ก ตรงที่ผมตั้งตะเกียงโป๊ะติดริบหรี่ๆอยู่นั้น

ฝนก็เริ่มตกลงมาแรงขึ้นอีก พอผมเดินมาถึงที่ไอ้เหม่งรออยู่ ผมก็บอกไอ้เหม่งว่า

“เฮ้ยเหม่งเรารีบกลับกันเลยดีกว่าเบ็ดก็วางเสร็จแล้ว อย่าไปรออะไรเลยมันมืดเปียกก็เปียกว่ะ”

“ผมเสร็จแล้วก็รอพี่อยู่นี่แหละ “ ไอ้เหม่งว่า ผมจัดแจงคว้าตะเกียงที่ริบหรี่เต็มทน

“น้ำมันคงจะหมดแหละท่า” ผมว่า

ขณะนั้นมีลมกระโชกแรงมาหน่อยตะเกียงก็ดับ ความมืดบริเวณนั้นปกคลุมเข้ามาเต็มที่ ผมความหาไม้ขีดในกระเป๋าโธ่กล่องไม้ขีดก็ดันเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวเก่งของผมด้วยซี

เสื้อตัวบางแขนยาวมีลายเป็นตาหมากรุกสีดำแดง ที่ผมชอบเอาไปอวดเพื่อนๆบ่อยๆ เวลาจะไปเที่ยวที่ไหนกันนั่นเอง

ไม่ขีดเปียกหมดทั้งกล่อง ผมลองเอาออกมาขีดเท่าไรก็ขีดไม่ติด เวรกรรมจริงๆ

ในท่ามกลางความมืดนั้น ฝนก็ยังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่หนักมากนัก ไม่ถึงกับขนาดห่าใหญ่ ผมบ่นกับไอ้เหม่งมันว่า

“ก็พี่บอกแล้ว กลับบ้านกันตอนที่ฝนจะเริ่มตกก็ดีแหละ” ไอ้เหม่งก็ว่า

“แหมพี่ละก้อโทษผมอยู่เรื่อยเชียว” แล้วมันก็หัวเราะ

ผมคว้าตะเกียง และกำหนดทางในใจแล้วว่ามันต้องเดินตรงไปทางนี้อีกหน่อยหนึ่ง แล้วก็ถึงรั้วเก่าๆ ผุๆ ของโรงเลื่อยร้างแห่งนี้ แล้วมุดออกไปก็จะโผล่ที่ท่าโรงสีพอดี ไม้สำหรับตีงู ตีหมาของผม ก็หล่นลงไปในน้ำไต้ศาลาเสียแล้ว

ในขณะที่ผมคิดอยู่นั้น เสียงกบเขียดก็ร้องกันให้เซ็งแซ่ ในบริเวณต้นไม้ใบหญ้าที่รกครึ้มนั้น

เสียงไอ้เหม่งมันร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ 
 คิดว่ามันไม่ใช่เพลงหรอกนะ เพราะว่ามันสั้นๆ ผมเคยได้ยินมันร้องบ่อยๆ เวลามันไปกับผม ผมเคยถามมันว่า เพลงอะไรของมึงวะ มันก็บอกว่าไม่รู้ มันได้ยินมาตั้งแต่เกิดแล้ว

คนที่บางโตนดบ้านเก่าของมันชอบร้องกันอยู่เรื่อยๆ คราวนี้มันก็ทำลายความเงียบขึ้นมาอีก ผมได้เคยฟังมันร้องมาแล้ว มันเหมือนล้อเลียนเสียงกบ เขียดนั่นแหละ

“อึ้ง อ่าง เหล่นตูดกันละมั๊ง เปล๊า แฮะแอะ สาวมีผ่าหนุ่ง ผ่าอ่อมเด๊กๆ ต๊กเบ๊ด ก็ ไหม่ ด่าย ถึงต๊กด่าย ก่อ ไหม่ ดี๊”

เสียงมันร้องอย่างนี้จริงๆ (ท่านผู้อ่านลองทำเสียงเหมือนมันดูสิ มันขำดีนะ) แล้วมันก็ร้องวนไปวนมาอีกหลายเที่ยว จนกระทั่ง มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มันหยุดร้องเพลง

ในขณะที่ผมคว้าตะเกียงได้แล้ว กำลังจะเดินออกจากตรงนั้น และไอ้เหม่งกำลังร้องเพลงอยู่นั้น มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาค่อยๆ เลยกอไผ่นั้นไปทางเหนือซึ่งยังมองไม่เห็น

ไอ้เหม่งมันหยุดร้องเพลงของมันทันที แล้วเงี่ยหูฟัง เสียงที่ดังเพิ่มขึ้นเรื่อย นั้นมันดังมาจากชายน้ำหลังกอใผ่นั่นเอง

เสียงเหมือนพายเรือดังจ๋อม ๆ ๆ ๆตรงมายังพวกผม อ๋อเสียงพายเรือของคนหาปลานั่นเองผมคิด แถวๆชายฝั่งของแม่น้ำนั้นปกติแล้ว จะมีคนพายเรือหาปลาอยู่เสมอ

ผมกับไอ้เหม่งใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง สักครู่ก็เห็นเรือเล็กๆลำหนึ่ง ซึ่งเหมือนจะเป็นเรือหาปลา โผล่พ้นดงต้นอ้อใกล้กอไผ่ เข้ามาในร่มเงาของต้นก้ามปูแล้วตรงมายังศาลา ที่ผมกับไอ้เหม่งหลบฝนกันอยู่

มีตะเกียงโป๊ะคล้ายๆกับแบบของผมจุดมาเห็นแสงริบหรี่ วางอยู่ตรงกลางลำเรือดวงหนึ่งด้วย ฝนตกลงมาไม่มากอย่างนี้ โป๊ะแก้วของตะเกียงแบบนี้กันได้ดีทั้งลมทั้งฝนเลยทีเดียว

ผมกับไอ้เหม่ง พยายามเพ่งมองชายหาปลาคนหนึ่งที่กำลัง จะนำเรือเข้ามาจอดหลบฝนที่ศาลาแห่งนี้

พยายามดูให้ได้ว่าคนหาปลาคนนี้เป็นใคร เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นคนแถวๆนี้จะรู้จักกันหมด

ชายคนนั้นใส่กางเกงจีนผูกเอวและเสื้อสีดำหมดทั้งชุด ที่หัวมีผ้าขาวม้าเก่าๆ หมองคล้ำแล้วมีลายตาหมากรุกโพกหัวอยู่ อากาศสลัวจนมองเห็นหน้าไม่ชัด ถ้าเป็นคนทางตลาดหรือนอกๆออกไปหน่อยผมก็จะรู้จักอย่างที่ผมว่าแล้ว

ถ้าเป็นคนรู้จักก็ดีจะได้ทักทายกันด้วย เขาจอดเรือแล้วเอาเชือกผูกเรือไว้ตรงเสาศาลาที่ปลูกล้ำไปในน้ำ เสร็จแล้วก็เดินลุยน้ำขึ้นมาทางผมกับไอ้เหม่ง

พอมาใกล้ที่จะเห็นกันแล้วผมค่อยโล่งอกออกมาหน่อย ไอ้เหม่งก็มีอาการเดียวกับผม

ลุงปลูกนั่นเองคนที่เดินขากระเผลก เพราะว่าขาแกเสียไปข้างหนึ่งไม่รู้ว่าไปโดนอะไรที่ไหนมานานแล้ว

ผมเห็นแกเดินไปตลาดบ่อยๆ ไปหาซื้อเหล้า 30 ดีกรี ที่ห้องแถวร้านเจ๊เซี้ยมกิน แล้วก็เดิน กระเผลกกลับบ้านแกที่ริมทางรถไฟ บ้านแกอยู่ริมทางรถไฟใกล้ๆบ้านป้าแหลวขายขนมจีน

เมื่อผมเห็นดังนั้นผมก็เลยร้องทักแกไปว่า “อ้าวลุงไปไหนมาเนี่ย... หือ”

แกบอกเสียงแหบๆว่า
“ไปวางเบ็ดทางโน้นมา ฝนมันตกก็เลยว่าจะมาแวะหลบฝนตรงนี้สักหน่อย แล้วพวกแกล่ะไปไหนกันมา”

ผมตอบว่า
“พวกผมมาวางเบ็ดกันน่ะลุง เสร็จแล้วจะกลับกันอยู่แล้ว ลุงมาพอดีเลย”

“เออรีบๆกลับกันหน่อยนะ” แกว่า

“มืดๆอย่างนี้แถวนี้มันอันตรายงูก็ชุมไม่ค่อยมีคนมากันหรอก เดี๋ยวแม่มึงเสร็จจากงานศพแล้วไม่เห็นพวกมึงจะโดนตีซะเปล่าๆ ลุงต้องไปก่อนละฝนชักซาเม็ดแล้วหละ”

แกว่าแล้วก็เดินไปที่เสาศาลาที่ผูกเรือไว้แก้เชือกออก แล้วก้าวขึ้นเรือพายเรือออกไปทางตลาดได้ยินเสียงพายกระทบน้ำดัง จ๋อมๆ เห็นแต่แสงไฟแดงๆ วาบๆ ที่ปลาย มวนยาสูบของแกห่างออกไปจนลับตา

“อ้าวแกมาแวะนิดเดียวแล้วแกจะรีบไปไหนของแกวะน่ะ”

ผมบอกไอ้เหม่ง แต่ไอ้เหม่งมันเฉยๆไม่ออกความเห็นมา
และแล้วในทันใดนั้นผมก็ฉุกคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง อยู่ๆเส้นผมบนหัวและขนที่แขนลุกพรวดขึ้นมาทันที ผมบนหัวงี้ชี้เด่

ผมคว้าตะเกียงโป๊ะได้แล้วลากไอ้เหม่ง ออกมาจากศาลานั้น โดยที่ไม่ได้บอกอะไรไอ้เหม่งเลยสักคำ

ไอ้เหม่งมันก็นกรู้มันรู้ว่าต้องมีอะไรสักอย่างเป็นแน่แต่ขณะนั้นมันยังคิดไม่ออก มันจึงออกวิ่งฝ่าความมืดสลัวๆนั้น ตามผมมาอย่างไม่คิดชีวิต

ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายลงมาในความมืดสลัวๆนั้น ผมและไอ้เหม่งวิ่งลุยต้นไม้ใบหญ้า เนื้อตัวมอมแมมไปหมด

มือหนึ่งก็ถือตะเกียงโป๊ะอีกมือหนึ่งวาดไปข้างหน้ากลัวจะไปชนอะไรเข้า เพราะความมืด จนมาถึงรั้วจนได้แล้วมุดรั้วเก่าๆ ผุๆ ของโรงเลื่อยร้างนั้นออกมาแล้ว วิ่งตื๋อด้วยความเร็วสูงสุดขนลุกชันสุดขีด

ผ่านท่าน้ำโรงสีมาแล้วได้ยินหมาวัดเห่ากันเกรียว วิ่งอีกประเดี๋ยวก็มาถึงหน้าตลาด

บ้านไอ้เหม่งที่เป็นร้านถ่ายรูป ติดกับบ้านผมยังสว่างไสวไปด้วยแสงไฟฟ้า ตอนนั้นเพิ่งจะประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆเท่านั้น

ผมกับไอ้เหม่งวิ่งมาหอบกันอยู่ที่หน้าตลาด มือข้างหนึ่งของผมถือตะเกียงโป๊ะอยู่ หน้าซีดเหลืองเป็นไก่ต้มทั้งคู่

มีเด็กตลาดเดินผ่านมามองผมกับไอ้เหม่งด้วยความสงสัยแต่ไม่พูดอะไร พวกเขาคงคิดว่าผมไปเล่นฟุตบอล ที่หน้าโรงเรียนกันมาเป็นแน่

พอจะหายเหนื่อยดีแล้ว ไอ้เหม่งมันถามผมว่า มีอะไรหรือพี่ทำไมต้องรีบวิ่งกันมาขนาดนี้ด้วย แม่เราไปงานศพลุงปลูกยังไม่กลับกันเลย เพราะว่าเพิ่งสองทุ่มพระก็คงเพิ่งเริ่มสวดละมั๊ง

ผมถามไอ้เหม่งว่า 
 “เฮ้ยเหม่งคนที่แม่มึงกับแม่กูไปงานศพเขานั่นน่ะ ขาเสียข้างหนึ่งใช่ไหมวะ”

ไอ้เหม่งก็พยักหน้าแล้วว่าใช่พี่ ผมพูดต่อว่า
"แล้วก็คนที่พายเรือไปหาเราที่ศาลาโรงเลื่อยร้างเมื่อกี้นี้นั่นน่ะ ขาก็เสียข้างหนึ่งเดินโขยกเขยกมึงไม่เห็นหรือ"

ไอ้เหม่งเพิ่งนึกได้ขนหัวขนแขนมันลุกเกรียว แล้วพูดว่า
"แกเดินเหมือนขาสั้นข้างหนึ่งจริงๆด้วย ผมเห็นหน้าลางๆมองไม่ถนัด” ไอ้เหม่งตัวสั่น

“ชิ๊บหาย...! โดนผีหลอกเสียแล้วละกูมิน่าล่ะผมเห็น แกเอาใบตองขึ้นมามวนกับเส้นยาสูบ มวนใหญ่เท่าด้ามพายยาวเป็นคืบ สูบแดงวาบวาบแน่ะ” ไอ้เหม่งมันสบถออกมาดังลั่น

รุ่งเช้า ผมกับไอ้เหม่งก็ไม่ได้ไปกู้เบ็ดที่ปักไว้ และผมก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เดี๋ยวมันจะหาว่าผมบ้าหรือตาฝาดไป

แต่ผมยืนยันได้ว่าผมเห็นลุงปลูกที่แกตายเพราะแกเมา แล้วเดินตามทางรถไฟจะเข้าบ้าน เลยถูกรถไฟเฉี่ยวเอาไปตายโรงพยาบาลโพธาราม

ตั้งศพสวดที่บ้านได้สองคืนแล้ว แกไปหาผมให้ผมกับไอ้เหม่งเห็นจริงๆ

ตั้งแต่นั้นมา ผมและไอ้เหม่งก็ไม่ได้ผ่านเข้าไปวางเบ็ดที่ริมน้ำ ภายในโรงเลื่อยร้างนั้นอีกเลย...

 

1392 1
 
สถานีรถไฟ "เจ็ดเสมียน" หลังเก่า ตลาดเจ็ดเสมียนอยู่หลังสถานีรถไฟ 
ผมได้เล่าเรื่องของผมกับเพื่อนๆที่อยู่ในตลาดเจ็ดเสมียนผ่านมาแล้วในตอนแรก ซึ่งที่ตลาดเจ็ดเสมียนนั้นผมมีเพื่อนรุ่นๆเดียวกันหลายคน ในตอนที่เล่ามาตอนแรกนั้นคือตอนที่ไปทำการขุดหาเปลือกหอยกาบกันที่ทางเข้าตำบลท่ามะขาม 
และในวันนั้นผมได้ไปกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับผมในบางตอนด้วยตามที่ได้เสนอมาแล้ว เพื่อนรุ่นน้องคนนี้เคยไปไหนมาไหนกับผมมานับว่าจะมากกว่าคนอื่นๆ เพราะว่าสนิทกันและบ้านอยู่ที่ห้องแถวในตลาดห้องติดกัน ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ต่างๆที่ได้ทำมาด้วยกันค่อนข้างจะมาก แล้วผมจะเล่าให้ท่านทราบถึงเรื่องอื่นๆในโอกาสต่อไป
ดังนั้นในขั้นแรกนี้ผมจึงอยากจะแนะนำเสียก่อนว่า คุณคะนอง (ในตอนเด็กๆผมเรียกเขาว่า ไอ้เหม่ง และต่อไปผมจะเรียกเขาในที่นี้ว่า “ไอ้เหม่ง” นะครับ) เป็นใครมาจากไหนเสียก่อนนะครับ
 
350 rumpa
 
คุณคะนอง กับพี่สาวและน้องชาย นั่งเล่นที่รางรถไฟไกล้สถานีรถไฟเจ็ดเสมียน 
ตลาดเจ็ดเสมียนในตอนแรกที่อยู่หลังสถานีรถไฟเจ็ดเสมียน ตั้งแต่ผู้คนเก่าๆรุ่นปู่รุ่นย่านั้น ตลาดเจ็ดเสมียนมีเพียงแถวเดียวเท่านั้น คือแถวที่ด้านหลังติดคลองเจ็ดเสมียน คลองเจ็ดเสมียนนี้ที่ปากคลองจะเชื่อมกับแม่น้ำแม่กลอง ที่เรียกว่า “ท่าใหญ่ ” ที่ท่าใหญ่นี้ก็มีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวข้องกับท่าใหญ่ แล้วผมจะเล่าถึงเรื่องของ “ท่าใหญ่” ในตอนต่อๆไป
ในเวลาต่อมาตลาดเจ็ดเสมียนเริ่มเจริญขึ้น เพราะว่าตลาดเจ็ดเสมียนเป็นชัยภูมิที่เหมาะ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการค้าขาย ตลาดเจ็ดเสมียนมีทางที่จะเข้ามาได้หลายทาง มีทางน้ำเพราะตลาดเจ็ดเสมียนตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ทางรถไฟมีสถานีรถไฟมาจอดและวิ่งผ่านลงไปทางภาคไต้ ทางรถยนต์ที่วิ่งลงไต้ก็แวะเข้ามาตลาดเจ็ดเสมียนได้โดยง่าย
ผู้นำชุมชนในสมัยนั้นเห็นว่าควรขยายตลาดเพื่อรองรับความเจริญ จึงได้สร้างห้องแถวขึ้นอีกแถวหนึ่ง โดยหันหน้าเข้าหากันกับห้องแถวเก่าโดยเว้นระยะตรงกลางระหว่างตลาดแถวเก่ากับใหม่ เป็นลานกว้าง ส่วนด้านหลังของห้องแถวใหม่นี้ติดกับกำแพงโบสถ์วัดเจ็ดเสมียน ตลาดเจ็ดเสมียนจึงมีห้องแถวสองแถวหันหน้าเข้าหากันจนถึงปัจจุบันนี้
 
talad chetsamian 1
 
ตลาดเจ็ดเสมียนมองจากสถานีรถไฟ เป็นสองแถวหันหน้าเข้าหากัน สุดตลาดเป็นท่าน้ำ แม่น้ำแม่กลองไหลผ่าน
 
เมื่อห้องแถวใหม่ปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีผู้ที่สนใจมาจับจองกันเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยหรือว่าจะมาทำกิจการอย่างอื่นก็ตามแต่อาชีพของเขา
ครอบครัวของผมก็เป็นหนึ่งในที่กล่าวถึงนี้ เราจองห้องเอาไว้ห้องหนึ่งและในขณะนั้นครอบครัวของผม ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่เลย ก็มีอีกครอบครัวหนึ่งได้มาจองห้องติดกันกับกับห้องของครอบครัวผม และไม่นานก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องแถวแห่งนี้เกือบจะพร้อมๆกัน
ครอบครัวที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ใกล้ๆกับห้องผมนั้น ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันบ้างแล้วก็รู้ว่าเขาย้ายมาจากอีกตำบลหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอำเภอเดียวกัน เขามีอาชีพถ่ายรูป รับจ้างถ่ายรูปนอกสถานที่และในสถานที่ด้วย ดังนั้นเขาจึงจัดร้านของเขาเป็นร้านถ่ายรูป ในตอนหลังร้านถ่ายรูปแห่งนี้จึงเป็นร้านที่มีคนนิยมมาถ่ายรูปกันมาก
 
 chetsamian 355
ลุงเนียนและลูก (ภาพนี้ไม่มีคุณคะนอง) พร้อมด้วยเด็กตลาดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้น รูปนี้ถ่ายที่เสาธงหน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน
 
chetsamian 356 
 ลุงเนียนกับลูกๆนั่งเล่นกันอยู่ภายในร้านถ่ายรูป "จำเนียรศิลป์ ตลาดเจ็ดเสมียน " คุณคะนอง (ไอ้เหม่ง) นั่งติดกับลุงเนียน
 
photo 2
 
ภายในร้านถ่ายรูปของลุงเนียน ผู้เขียนมานั่งเล่นที่ร้านนี้ในตอนค่ำๆเป็นประจำ เพราะว่าบ้านห้องแถวอยู่ติดกัน
 
ลุงเนียนและป้าม่อม (ผมเรียกเขาอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มมาอยู่ใกล้กัน) คือครอบครัวที่ย้ายมาอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน เขามีลูกหลายคน ในจำนวนนี้มี คุณคะนอง หรือไอ้เหม่ง ซึ่งไอ้เหม่งนี้มีพี่สาวอีกสองคนดังนั้นไอ้เหม่งจึงเป็นลูกชายคนโตของลุงเนียน นอกจากนั้นไอ้เหม่งยังมีน้องอีกคนหนึ่งคือ คนึง คุ้มประวัติ (ไอ้จุ้ย ) ไอ้จุ้ย นี้อายุน้อยกว่าผมหลายปี ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยได้ยุ่งกันเท่าไรนัก นับว่าครอบครัวนี้ก็เป็นครอบครัวใหญ่พอสมควร
เมื่อครอบครัวของเราย้ายมาอยู่ติดกันแล้ว ก็มีความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไอ้เหม่งนั้นอายุน้อยกว่าผมสักสองปีเห็นจะได้ เขาเรียกผมว่าพี่เก้ว (เป็นชื่อที่เพื่อนๆเรียกผม-ผู้เขียน)
เนื่องจากบ้านอยู่ติดกันเราจึงเจอกันทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงกลางคืน กินข้าวบางมื้อก็มักจะคดข้าวแล้วถือชามออกมานั่งกินด้วยกันที่ร้านหน้าบ้าน กินกันไปคุยกันไป พอสายๆในวันที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ผมก็ชวนไอ้เหม่งหรือบางทีก็อาจจะมีเพื่อนคนอื่นๆอีก ไปยิงนก ตกปลา กันไปตามเรื่องของเด็กๆในสมัยนั้น
 
scan0014 1
คุณคะนอง (ไอ้เหม่ง) อุ้มน้องคนเล็กอยู่หลังบ้าน ภาพนี้ถ่ายตอนมีอายุมากขึ้นมาหน่อยกว่าในเรื่อง
 
เมื่อตอนเป็นเด็กๆชีวิตของเด็กตลาดเจ็ดเสมียน เมื่อยามหน้าน้ำๆในแม่น้ำแม่กลองขึ้นล้นตลิ่ง ไหลเข้าสู่ลำคลองต่างๆเรียกว่าฤดูน้ำหลาก ที่ตำบลเจ็ดเสมียนมีคลองหลายลำคลองที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำแม่กลอง เช่นคลองหลังตลาด คลองท่ามะขาม คลองวัดใหม่ชำนาญ และคลองวัดตึก
หน้าฤดูน้ำหลากน้ำจะไหลเชี่ยวกรากเข้าทางลำคลองเหล่านี้ ปลาเล็กปลาน้อยต่างก็ร่าเริง ว่ายหลั่งไหลเข้าไปในลำคลองเหล่านี้ 
คลองหลังตลาดเจ็ดเสมียนเป็นคลองที่สำคัญที่สุดของเด็กเจ็ดเสมียน พวกเราเอาสวิง เอาตาข่ายไปตักปลา ช้อนปลากันอย่างสนุกสนาน ที่คลองหลังตลาดมีศาลเจ้าแม่เจ็ดเสมียนอยู่ริมคลอง ตรงศาลเจ้านั้นมีประตูระบายน้ำก่อสร้างแบบคอนกรีต เมื่อจะกั้นน้ำก็มีเพียงแผ่นไม้หนาๆเอาใส่ลงไปในร่องเพื่อกั้นน้ำที่ไหลเข้าไปในคลองมากเกินไปเท่านั้น
 
chetsamian 033
 
ประตูน้ำช่องทางที่น้ำผ่านเวลาน้ำขึ้นมากๆเขาจะมีไม้กระดานแผ่นหนาๆมากั้นน้ำเอาไว้
 
 chetsamian 031
ในปัจจุบันนี้ (นานหลายปีแล้ว) มีการขยายศาลเจ้าแม่เจ็ดเสมียนออกมาเกือบกลางลำคลอง ทำให้ช่องทางที่น้ำไหลเข้าไปเล็กนิดเดียว
 
chetsamian 032
 
สภาพ "ท่าใหญ่ "ที่น้ำจากแม่น้ำแม่กลองไหลเข้าคลองเจ็ดเสมียน ในปัจจุบันนี้แคบมากเพราะว่ามีสิ่งปลูกสร้างล้ำที่เข้ามามาก
 
พวกเราเด็กเจ็ดเสมียนมักจะยืนตรงประตูระบายน้ำนี้ พลางเอาสวิงช้อนปลาไปตามน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว ช้อนแต่ละครั้งจะได้ปลาเล็กปลาน้อย ปลาสร้อย ปลารากกล้วย ปลาหมู และปลาอื่นๆ ครั้งละมากๆ
เจ็ดเสมียนยามนั้นเป็นตำบลเล็กๆที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว คนขยันไม่อดอยาก ธรรมชาติสร้างมาให้อย่างเหลือเฟือ 
พวกผมช้อนปลากันตรงนี้ตั้งแต่เช้า ไม่ถึงเพลก็เลิกแล้วเพราะว่าได้ปลาเล็กปลาน้อยกันคนละกว่าครึ่งปี๊บ (น้ำมันก๊าด) มากกว่านี้ก็จะแบกไปบ้านไม่ไหว 
ไปถึงบ้านแม่จะเอาปลาเหล่านี้ส่วนหนึ่ง นำไปล้างให้สะอาด แล้วทอดในกระทะที่มีน้ำมันเยอะๆ กลับไปกลับมาจนกรอบเกรียมได้ที่ แล้วตักน้ำมันออกให้แห้งแล้วใส่น้ำปลาสร้อยแท้ ที่ได้หมักใส่โอ่งไว้เมื่อปีก่อนๆ ใส่ลงไปในกระทะที่กำลังร้อนๆอยู่ กลิ่นหอมๆเค็มๆลอยขึ้นมาทำให้หิวข้าวยิ่งนัก 
ปลาที่เหลือแม่บอกว่าถ้ามีคนมาซื้อก็จะขายไป ถ้าไม่มีคนมาซื้อก็จะเอาปลาสร้อยเหล่านี้ หมักเป็นน้ำปลาไว้กินในปีหน้าอีกต่อไป เด็กๆตลาดหลายคนเมื่อช้อนปลามาได้แล้วก็จะทำอย่างที่ผมว่านี้ ไอ้เหม่งก็เช่นเดียวกัน
 
กรุณาติดตามตอนต่อไป เร็วๆนี้ ที่นี่เท่านั้น
 
IMG 4209
 
นายแก้ว ผู้เขียน ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
 
 
 

 001

ส่วนหนึ่งของเด็กตลาดเจ็ดเสมียน คนนั่งข้างบนซ้าย คือคุณอุษา ชาญชาติณรงค์ เจ้าของร้านกาแฟโบราณ รุ่นที่ ๓ แห่งตลาดเจ็ดเสมียนในปัจจุบัน

เมื่อตกลงตามนั้นแล้ว ผมก็จูงรถจักรยานของผม จอดให้เข้าที่เข้าทางไต้ถุนบ้านกำนันนั้น แล้วจูงรถสามล้อของไอ้เล็ก ที่ผมเคยขี่เล่นทุกวัน เหยียบบันได แล้วตวัดขาขึ้นคร่อม

ออกแรงถีบที่บันไดของมัน รถเริ่มเคลื่อนที่ ทีแรกก็หนักหน่อย พอออกจากหน้าบ้านกำนัน ขึ้นสู่ถนนแล้วรถก็เบาขึ้นขี่ไปได้อย่างสบาย ผมดีดกระดิ่งรถสามล้อคันนี้เล่นไปตลอดทางเมื่อเจอคนรู้จักกัน ขี่รถจักรยานสวนทางมาแล้วก็ยิ้มให้เหมือนกับว่า ให้ดูผมซี่ผมถีบรถสามล้อก็เป็นนะ โก้ไหมล่ะ...!

สักพักใหญ่ๆผมก็ดั้นด้นมาถึงทางเข้าวัดท่ามะขาม ขี่สามล้อเข้าไปอีกสักประเดี๋ยวก็เห็นหมู่คนกลุ่มใหญ่ กำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดดินหาเปลือกหอยกาบกันใหญ่ คงจะเป็นจริงอย่างที่ลุงคนนั้นบอก ขุดให้ลึกๆหน่อยก็เป็นเจอเปลือกหอยกาบทั่วไปหมด ทุกคนที่มาขุดนั้นจึงได้กันคนละมากๆ ถ้วนทั่วทุกตัวคน ได้ยินเสียงพูดคุยกัน เฮกันตลอดเวลาที่พบเปลือกหอยกาบ

chetsamian 378 1 

นายเหม่ง (คนอง คุ้มประวัติ) คนขวา ส่วนคนซ้ายนั้นเป็นลูกชายกำนัน ชื่อ ศักดา วงษ์ยะรา
เมื่อมาถึงแล้วผมรีบจอดรถสามล้อเอาไว้ข้างถนนบนไหล่ทาง ซึ่งมีรถจักรยาน รถรุนและอื่นๆจอดอยู่เป็นแถวยาวอยู่แล้ว

ไอ้เหม่งเพื่อนรุ่นน้องของผมนั่งอยู่ที่ปากหลุม เมื่อเห็นผมแล้วมันก็ทำท่าดีใจ ไม่น้อยกว่าผมที่เห็นผมเอารถสามล้อมาได้

มองดูทั่วๆแล้วไอ้ธรและคนอื่นๆ ก็ได้เปลือกหอยทุกคน แล้วแต่ว่าใครจะเอากระสอบมาใส่มากน้อยแค่ไหนก็ได้เท่านั้น

แต่ไอ้การที่จะย้อนกลับมาเอาอีกนั้น ผมก็คิดว่าหมดสิทธิแล้ว  ถ้าเราจะเอาตรงนี้อีกต่อไป เราก็ต้องมีคนเฝ้าตลอดคืนนี้อีกด้วย คงไม่มีใครยอมมาเฝ้าแน่ๆเลย ถ้าเราละไปก็ต้องมีคนอื่นเข้ามาครอบครองอย่างแน่นอน จึงต้องตัดใจแล้วได้แค่นี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย

ผมถามไอ้ธรว่า

“แล้วมึงจะเอากลับอย่างไรวะ”  ไอ้ธรบอกว่า

“ตอนนี้ให้เด็ก (รุ่นน้องคนหนึ่ง) ที่มาด้วย ถีบจักรยานกลับไปตามรถสามล้อมาแล้ว อีก ๒ – ๓ คัน เผื่อไอ้อู๊ด ไอ้วี ด้วย เดี๋ยวคงจะมากันได้หรอก เพราะว่าเราก็ให้ค่าจ้างเขา”  (รถสามล้อในเจ็ดเสมียนที่วิ่งรับคนในตอนนั้น จำได้ว่ามีประมาณ ๗ หรือ ๘ คัน จำนวนนี้รวม สองคันของไอ้เล็กและไอ้นิดด้วย )

ไอ้ธรบอกอีกว่า

“ถ้าสามล้อมันมาแล้ว ก็จะบรรทุกคันละ ๒ กระสอบ เสร็จแล้วเราก็จะถีบจักรยานตามมันไป แล้วจะไปลงที่บ้าน ป้าฮวยเลย ขายเสร็จแล้วก็จ่ายค่ารถสามล้อมันตรงนั้นเลย”

ก็ดีเหมือนกัน เป็นความคิดที่ดีของไอ้ธรมัน แต่ผมและคนอื่นๆก็คิดแบบเดียวกับมันนั่นแหละ เรื่องอะไรจะเอาไปตุนเอาไว้ที่บ้านก่อน

ส่วนผมกับไอ้เหม่งนั้นคิดว่าจะไปก่อนมันดีกว่าไม่รอมันแล้ว เพราะรถของเรามาแล้วและพร้อมแล้วที่เอาของขึ้น เปลือกหอยสองกระสอบนี้อย่างน้อยก็คงจะได้สัก ๒๐๐ บาท ให้ค่ารถของไอ้เล็กมัน สักสิบบาทเป็นค่ารถของมัน

10209

 เมื่อครั้งเพื่อนๆที่เคยอยู่ที่เจ็ดเสมียนด้วยกัน ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง

ผู้เขียน (เสื้อลายแดง) นั่งติดกับนายอู๊ด (โอฬาร ลักษิตานนท์) ถัดไปคือนายโห้ (สุรพงษ์ แววทอง) คนยืนริมขวามือสุดนั้นคือ นายวี (ทวี ชาญชาติณรงค์) นายธร (สาธร วงษ์วานิช) คนยืนที่สองจากทางซ้าย

ที่เหลือก็แบ่งให้ไอ้เหม่งมันคนละเท่าๆกัน เพราะว่าปฏิบัติการกันแต่ละครั้งนั้น  ผมไม่เอาเปรียบใครต้องเท่าๆกันเสมอ (มีเรื่องที่ผมปฏิบัติการต่างๆกับไอ้เหม่งหลายเรื่อง แล้วผมจะเล่าในโอกาสต่อไป)

ผมเอารถสามล้อเลื่อนมาจอดที่บนถนนให้ใกล้ที่สุดโดยเลื่อนรถจักรยานที่จอดอยู่ ออกจากตรงนั้นไปสามคัน กะให้ตำแหน่งที่จะเอากระสอบขึ้นใกล้ที่สุด แล้วจะได้ไม่ยกไกล

ผมกับไอ้เหม่งก็ช่วยกันกลิ้งกระสอบป่านนั้นไปที่ริมถนน ที่รถสามล้อจอดอยู่ ตอนกลิ้งไปก็ลำบากพอดูเหมือนกัน เพราะต้องหลบหลุมที่เขาขุดหาเปลือกหอยเอาไว้

บางทีก็พลาดไปชนมูลดินที่เขาขุดขึ้นมาแล้ว กลับพังลงไปอีก เจ้าของหลุมมันมองตาเขียว ผมก็ต้องอ่อนเข้าไว้ ขอโทษเขาตะพืดไปหมดจนในที่สุดก็เอาขึ้นรถจนได้

เหนื่อยแทบตาย แต่ในเมื่อทำมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ เผื่อจะได้มีสตางค์ไปเที่ยวที่ตลาดในตัวจังหวัดหรือว่าตัวอำเภอโพธารามบ้าง เมื่อเอากระสอบที่อัดแน่นไปด้วยเปลือกหอยกาบขึ้นรถสามล้อได้แล้ว  ผมก็ก้าวขึ้นคร่อมอานทันที

1392 1 

สถานีรถไฟเจ็ดเสมียนหลังเก่า อายุเกือบร้อยปี ปัจจุบันสร้างใหม่แล้ว ตลาดเจ็ดเสมียนอยู่หลังสถานีรถไฟนี้

ไอ้เหม่งจูงรถจักรยานตามมาแล้วตั้งขาตั้งจักรยานไว้ อ้อมไปทางด้านหลังแล้วตะโกนบอกผม

”พี่ผมเข็นนะ”

ไอ้เหม่งบอกแล้วออกแรงผลักนำ ส่งเสียงในลำคอดัง อึบ อึบ ให้รถสามล้อมันเลื่อนที่อย่างช้าๆ เพื่อเริ่มออกวิ่ง ผมเริ่มต้นเกร็งขาถีบ แล้วรถก็เลื่อนไปเรื่อยๆ

ผมคิดไม่ถึงอีกแล้วสามล้อบรรทุกของหนักๆนี้กับสามล้อเปล่าๆ ที่ผมเคยซ้อมถีบเล่นที่หน้าโรงเรียนนั้นมันไม่เหมือนกันมันผิดกันไกล

ยิ่งบรรทุกเปลือกหอยกาบสองกระสอบนี้ หนักตั้ง ๑๐๐ กว่ากิโลนั้น มันทั้งหนัก แฮนด์  (มือจับบังคับ) ก็แข็งมาก อืดมากถีบไม่อยากจะออกเลย

ต้องเกร็งขาถีบมันบันไดมันออกแรงเสียหน้าแดงก่ำ มันจึงค่อยๆคลานไป ผมอยากจะให้ไอ้เหม่งมันมาช่วยเข็นตลอดไปจริงๆ แต่ไอ้เหม่งมันก็ขี่จักรยานของมันอยู่ มันจะจอดจักรยานแล้วมาเข็นให้ก็ไม่ได้ ผมจึงต้องถีบบันไดมันเสียหน้าแดงทีเดียว เพื่อให้มันเคลื่อนที่

อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญกว่ารถหนัก ก็คือเมื่อบรรทุกของหนักๆอย่างนี้ แฮนด์ มันขืนน่าดูเลย ผมต้องออกแรงขืนหน้ามันให้มันวิ่งไปตรงทางที่เราต้องการ  ถ้าตอนไหนทางมันเอียงๆ รถสามล้อที่หนักๆอย่างนี้มันก็จะวิ่งลงไปที่ทางเอียงๆ นั้น

ผมพยายามเหลือเกินทีจะขืนมันไว้ แต่มันก็หนักจริงๆพับผ่าซี ผมถีบวิ่งไปเรื่อยๆ ไอ้เหม่งก็ขี่จักรยานของมันตามหลังมาไม่ห่าง เข้ามาจากหนองบางงู มาได้เกือบครึ่งทางแล้ว แถวๆหน้าบ้านครูตลับ พอเลยบ้านครูตลับมาได้หน่อยหนึ่ง ทางด้านซ้ายมือเป็นทางลาดอียงลงไป

มีรถยนต์ดอจ์ด (ที่เรียกว่าดอจ์ดสหะ คือรถสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง) ลักษณะเป็นรถบรรทุกคันหนึ่ง เขาคงวิ่งไปส่งของที่ในตลาดเสร็จแล้ว วิ่งออกมาสวนกับผมตรงเยื้องๆกับหน้าบ้านครูตลับพอดี 

ผมบอกแล้วไงถนนทางด้านซ้ายมือของผมลาดเอียงลงไปพอสมควร เมื่อรถยนต์ดอจ์ดคันนั้นหลีกผมไปแล้ว ผมก็มาถึงตรงที่ลาดเอียงนั้นพอดี ทำให้รถสามล้อของผมที่หนักอึ้งนั้น ล้อข้างซ้ายตะแคงไปตามทางที่ลาดเอียง ทำให้แฮนด์  (มือจับบังคับเลี้ยว ของรถทำท่าจะหักไปทางซ้ายด้วย

16 1        

รถบันทุกที่เห็นในภาพนั้น แบบนี้แหละที่เรียกว่ารถ     "ดอร์ดสหะ"

ผมพยายามขืนแฮนด์มันกลับมาจนสุดฤทธิ์ รถก็ยังทำท่าจะไหลลงไปทางซ้ายตามนั้น ผมพยายามขืนอย่างหนัก แต่ขืนเท่าไรก็ขืนไม่ขึ้นเสียแล้วเพราะรถหนัก ล้อหน้าบิดไปตามทางที่ลาดนั้น

ทำให้รถวิ่งพรวดลงไปข้างทางทันที  ไอ้เหม่ง ร้องตะโกนดังลั่น

“เฮ้ย เฮ้ย อะไรกันวะ  พี่เก้วทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ ดึงขึ้น ดึงขึ้นเร๊ว”

มันทิ้งรถจักรยานโครมกระโดดเข้ายื้อ ดึงรถสามล้อด้านท้ายเอาไว้  ผมเหยียบเบรกเต็มแรงล้อหยุดหมุนทันที 

แต่อย่างไรก็เอามันไม่อยู่เสียแล้ว ล้อมันหยุดหมุนก็จริงแต่ตัวรถก็ยังไถลพรืดลงไปเรื่อยๆ เดชะบุญ ถนนช่วงนั้นจากไหล่ทางลงไปมันไม่ลึกมากนัก แต่ความหนักของรถทำให้มันมีแรงส่งวิ่งพรวดลงไปข้างทางอย่างรวดเร็ว

ไอ้เหม่งปล่อยมือจากรถแล้ว ยืนหอบตรงริมถนนไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้ สามล้อก็ลงไปข้างล่างแล้ว

ผมซึ่งอยู่บนอานรถนั้นอยากจะกระโดดหนีออกจากรถ แต่เหตุการณ์มันพริบตาเดียว จะกระโดดก็ไม่ทันเสียแล้วจึงต้องติดรถไปกับมันด้วย รถมันก็ตะลุยลงไปผ่านกอหญ้าคาที่ขึ้นอยู่ริมถนนนั้นก่อน แล้วก็เลยไปเหยียบดงต้นดอกลำโพงกระจาย หักล้มระเนระนาด ดอกลำโพงปลิวว่อน เหม็นหึ่ง 

พ้นต้นดอกลำโพงไปแล้วรถก็ยังไม่หมดแรงวิ่ง พ้นจากต้นดอกลำโพงไป ก็เป็นดงของ หนามพงดอ กลุ่มเบ้อเร่อ เคยเห็นไหมครับต้นหนามพงดอ ที่มีหนามแหลมๆ ถ้ามันปักแล้วปลายหนามที่ดำๆ มักจะหักติดกับเนื้อเราเลยแล้วก็ปวดน่าดู บ่งก็ไม่ค่อยอยากจะออกนี่แหละหนามพงดอละ

ผมมองเห็นต้นหนามพงดอ ดงใหญ่อยู่ข้างหน้า ผมตกใจสุดขีดอยากจะกระโดดออกจากอานรถคันนี้ แต่อะไรๆมันก็ไม่ทันแล้วเหตุการณ์มันเกิดเร็วมาก พริบตาเดียวผมได้ยินเสียดังโครม  ล้อหน้าของสามล้อคันนี้ไปสะดุดหินก้อนใหญ่ ซึ่งอยู่ริมกอหนามพงดอนั่นเอง

กระสอบเปลือกหอยกาบ ๒ กระสอบ หลุดกระเด็น ออกไปอยู่ในดงหนามพงดอ ล้อหน้าบิดเป็นเลข 8 ทันที ตะเกียบคู่หน้าสองข้างนั้นงอบิดเบี้ยวดูไม่จืด เพราะว่ามันกระทบกับหินก้อนใหญ่อย่างจัง  ล้อหลังสองล้อนั้น กระดกลอยขึ้น แล้วตกลงมาอยู่อย่างเก่า โดยไม่ได้ตีลังกาหงายท้องไปด้วย

ในขณะที่ท้ายรถกระดกขึ้นไปแล้วตกลงมาที่เก่าดังปึงนั้น ตัวของผมก็กระดอนหลุดจากอานรถ ตกลงไปที่กระบะท้ายตรงเบาะคนนั่งเสียงดังโครม

scan0014 1 

นายเหม่ง (คนอง คุ้มประวัติ) อุ้มน้องที่หลังบ้านห้องแถวในตลาดเจ็ดเสมียน

เดชะบุญของผมที่ไม่ได้ตกลงไปในดงหนามพงดอด้วย ถึงอย่างไรผมก็ไม่ยอมตกลงไปในดงหนามพงดอแน่ ถ้าตกลงไปแล้วตัวของผมก็คงจะพรุนไปด้วยหนามของมัน ปลายของหนามพงดอที่เป็นสีดำๆถ้ามันได้ทิ่มเข้าไปแล้ว มันก็จะหักคาบ่งมันออกปีหนึ่งก็ไม่หมด

เมื่อผมตกจากอานรถลงไปที่เบาะท้ายแล้ว มันก็สงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ผมค่อยๆลุกออกจากกระบะท้ายรถ สามล้อคันนั้นอย่างยากเย็น ไอ้เหม่งรีบเข้าจับตัวผม แขนขาผมขัดยอกไปหมด

ตอนกระเด็นตกลงมาที่กระบะรถนั้น หงายหลังลงอย่างไม่เป็นท่า กระดูกสันหลังแทบหักเจ็บกระดูกก้นกบไปอีกเป็นเดือน ล้อหน้าของรถนั้นบิดเบี้ยวเป็นเลข 8 เกยอยู่บนหินใหญ่ก้อนนั้นพอดี

ไอ้เหม่งถามผมด้วยความห่วงใยว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ผมบอกว่าไม่เป็นอะไรแค่ถลอกและเจ็บเอว เจ็บตรงก้นกบนิดหน่อยเท่านั้น

ผมปล่อยรถสามล้อคันนั้นให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นไปก่อน เพราะไม่มีแรงไปกู้มันหรอกในตอนนี้ ส่วนกระสอบเปลือกหอยกาบสองกระสอบนั้น มันก็กลิ้งเข้าไปในดงหนาม แต่ไม่ลึกมากนักหาไม้ตะขอมาเกี่ยวเอาก็คงไม่ยากเย็นเท่าไรนัก

ผมกับไอ้เหม่งสองคน พากันไปนั่งที่โคนต้นหว้าใหญ่ริมถนน เผื่อพวกไอ้ธรมันกลับมาผ่านเรา จะได้เห็นเรา แล้วมันก็คงรีบลงมาช่วยเหลือ อย่างแน่นอน แล้วผมก็คุยกับไอ้เหม่งด้วยความวิตกกังวล เรื่องรถสามล้อคันนี้ของไอ้เล็กมัน จะเอาอย่างไรดี

ทั้งตะเกียบคู่หน้า ทั้งล้อ และซี่ลวดชุบโครเมี่ยม บิดเบี้ยวหมด แล้วไม่รู้ว่าไอ้เล็กมันจะโกรธขนาดไหน ถ้ามันมาเห็นรถของมันพังขนาดนี้  ไม่เป็นไรหรอกน่าใจดีสู้เสือเข้าไว้ ไอ้เหม่งมันออกปากปลอบใจผมอย่างนี้

450 10

นายธร (สาธร วงษ์วานิช) ในปัจจุบัน ภาพนี้ตอนไปเที่ยวประเทศตุรกี

ตอนนั้นบ่ายมากแล้วขบวนรถของไอ้ธร มันกำลังจะมาถึงพอดี เสียงคุยกันเอะอะดังลั่น ได้ยินล่วงหน้ามาแต่ไกล ต่างคนต่างคุยโม้ทับกันในเรื่องการขุดหาเปลือกหอยในวันนี้ พอพวกมันจะผ่านผมกับไอ้เหม่งไป

พวกมันก็เหลือบเห็นผมกับไอ้เหม่งนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ข้างทาง เสียงคุยโม้กันนั้นหยุดกึกในทันทีที่เห็นผมและไอ้เหม่ง เสียงพวกมันหัวเราะกันใหญ่แทนที่จะรีบเข้ามาช่วยเหลือ เหมือนว่าเป็นของขำเสียเต็มประดาที่เห็นรถสามล้อตกลงไปข้างทางล้อบูดเบี้ยวอยู่

สักครู่หนึ่งไอ้ธร และเพื่อนอีกสองสามคนก็พากันจอดรถลงมาดูเหตุการณ์ ส่วนคนอื่นๆในขบวนของเขาต่างก็ล่วงหน้าไปก่อน แล้วก็ซักไซ้ไล่เรียงผมว่า เพราะเหตุใดรถมันจึงลงจากถนนไปคาอยู่ที่ดงหนามพงดออย่างนี้  ผมก็บอกพวกมันไปตามความจริง เมื่อเห็นว่าผมไม่เป็นอะไรแน่แล้ว ไอ้ธรมันก็บอกว่า

“ กูไปก่อนละมึงอยู่ตรงนี้ก่อน กูจะไปบอกไอ้เล็ก ให้มาเอารถของมันไปซ่อม มึงไม่ต้องห่วงหรอกนะ “

“และมึงก็ไม่ต้องตกใจและคิดมากไปหรอก เงินค่าซ่อมมึงก็มีอยู่แล้ว เปลือกหอยกาบในกระสอบนั่นยังไงล่ะ...!

 

IMG 4209

นายแก้ว  ผู้เขียน ๘ มกราคม ๒๕๖๐