เรารักสุพรรณ สถานที่ท่องเที่ยวสุพรรณบุรี

 

สวัสดีครับ ชีวิตในวัยเด็กของเรานั้น ทุกคนมักจะผ่านเรื่องต่างๆมามากมาย ผมก็เช่นเดียวกัน มีเรื่องหนึ่งที่จะมาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังกัน และขอรับรองว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมครับ

 

ท่าน้ำที่โรงเลื่อยร้าง
เขียนโดย Patipat Suwanmutcha

 ตอนใกล้ค่ำวันนั้นผมกับไอ้เหม่งเพื่อนรุ่นน้องของผมซึ่งมีบ้านติดกัน ซึ่งเป็นห้องแถวในตลาด

นั่งกินข้าวกันอยู่ที่ร้านหน้าบ้านที่ต่างคนต่างตักข้าวกันมา และมีเพื่อนเด็กตลาดเจ็ดเสมียนอีกหลายคนนั่งคุยกันอยู่ด้วย ไอ้เหม่งมันพูดกับผมว่า

"พี่เก้ว ผมว่าที่ริมน้ำท่าโรงเลื่อยที่มีต้นกอไผ่และต้นก้ามปูใหญ่รกครึ้มนั้น ท่าทางจะมีปลาชุมอย่างน้อยก็คงจะมีปลากดตัวใหญ่ ๆ ปลาตะเพียน ปลาค้าว ค่ำๆนี้เราไปวางเบ็ดกันที่นั่นดีไหม"

ไอ้เหม่งมันก็คิดแต่เรื่องหาปลาของมัน ไอ้เหม่งนับว่าเป็นมือเซียนขั้นเทพในการหาปลา ทุกครั้งที่พวกเราไปลงจับปลาตามบ่อหรือที่อื่นๆกัน บางคนจับไม่ได้เลย แต่ไอ้เหม่งจับได้มากที่สุด จึงนับว่ามันมีความสามารถพิเศษที่เรียกว่าขั้นเทพ

การออกหาปลานั้น ป้าม่อม แม่ของไอ้เหม่งและพวกพี่ๆของมันไม่ค่อยด่าว่าเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องยิงนกนั้นน่ะไม่ได้เลยป้าม่อมแกตีตาย แกบอกว่าอย่าไปฆ่ามันจะเป็นบาป เพราะว่าแกเคยห้ามไว้แล้วในเรื่องการยิงนก ส่วนลุงเนียร (พ่อไอ้เหม่ง) นั้น แกก็ทำงานถ่ายรูปของแกไปไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องเด็กๆสักเท่าไรนัก

ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าทำไมผมมีเพื่อน เฉพาะไอ้เหม่งคนเดียวหรือ ไม่ใช่นะครับความจริงผมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันในหมู่บ้านที่ผมอยู่นี้ เช่น ไอ้ธร ไอ้วี ไอ้โห้ ไอ้อู๊ด ไอ้มูล ไอ้โล ที่อายุใกล้เคียงกันจริงๆ ก็เคยไปด้วยกันในบางที

ส่วนไอ้โลและไอ้คดน้องชายของไอ้โล มันก็เคยไปยิงนกและตกปลาด้วยกันกับพวกผมบ่อยๆ แต่ละครั้งก็สลับสับเปลี่ยนกันไป แล้วแต่ว่าใครจะมาชวนผม ถ้าเห็นดีผมก็ไปด้วย

มาวันนี้ขณะนั่งกินข้าวที่หน้าบ้านอยู่ ไอ้เหม่งมันมาเสนอผมอีกแล้ว ให้ลองไปดูตรงท่าน้ำโรงเลื่อย ซึ่งท่าน้ำโรงเลื่อยนี้อยู่เลยท่าโรงสีไปหน่อย โรงเลื่อยนี้ผมก็เข้าใจเอาว่าเป็นโรงเลื่อยที่ร้างแล้วไม่มีคนอยู่ ต้นไม้ขึ้นรกครึ้มไปหมด

ผมบอกไอ้เหม่งว่า “ค่ำนี้ยังไม่ไปหรอก อย่างน้อยต้องพรุ่งนี้เช้า เราลอดรั้วสังกะสีเข้าไปที่ท่าน้ำดูลาดเลากันก่อน เผื่อว่ามีคนเฝ้าเราก็ต้องขออนุญาตเขาก่อน หรือว่าบางทีเขามีหมาแล้วกลางคืนจะปล่อยหมาเฝ้า มันจะกัดเราตาย นะมึง”

“ไอ้เหม่งพนักหน้ารับรู้ที่ผมบอก” เป็นอย่างนี้ทุกทีไอ้เหม่งมันตามใจผมเสมอมาตั้งแต่คบกันแล้ว

ดังนั้นในตอนสายของวันรุ่งขึ้น ผมกับไอ้เหม่งก็เตรียมตัวเอาหนังสติ๊กใส่กระเป๋าพร้อมด้วยกระสุนดินกลมๆที่ตากแห้งแล้วใส่กระเป๋าอีกข้างไปด้วย

แล้วพากันแบกคันเบ็ดกันคนละคัน พร้อมด้วยเหยื่อซึ่งเป็นไส้เดือนเป็นๆ ซึ่งผมกับไอ้เหม่งไปขุดเอามาใส่กระป๋องนม แล้วเอาดินร่วนๆกลบเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้

สำหรับเป็นเหยื่อเกี่ยวกับเบ็ดตกปลา ผมกับไอ้เหม่งเดินลัดเลาะตามกันไป จากบ้านห้องแถวที่ในตลาด

จุดหมายคือโรงเลื่อยไม้เก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ก็ไม่ไกลหรอกครับแค่เดินผ่านโบสถ์ ศาลา แล้วก็ท่าวัดทะลุไปถึงท่าน้ำของโรงสีไฟเจ็ดเสมียนซึ่งเปิดกิจการอยู่

ท่าโรงเลื่อยนี้ก็ติดกับท่าโรงสีนั่นเอง แต่เขากั้นรั้วด้วยสังกะสีเก่าๆสูงขนาด 6 ฟุต ซึ่งสูงเลยหัว แสดงให้รู้ว่าเป็นเขตของใครของมัน

ที่ท่าโรงสีนั้นเป็นที่จอดเรือของพวกที่เอาข้าวเปลือกมาสี และมารับข้าวสารที่สีจากข้าวเปลือกเสร็จแล้ว และเป็นที่อาศัยจอดเรือของผู้ที่บ้านอยู่ฝั่งแม่น้ำ ตรงข้ามกับโรงสี ที่จะมาธุระที่วัดด้วย

 ท่าโรงมีคนพลุกพล่านมากเพราะว่าดำเนินกิจการอยู่ ไม่ค่อยมีปลามาอยู่แถวนี้หรอก ผมเคยมาตกปลาที่ท่าโรงสีนี้หลายหนกับพวกไอ้ธร ไอ้โห้ ไอ้อู๊ด ก็เคย

ไม่ค่อยได้ปลาธรรมดาหรอกครับ จะได้บ้างก็เป็นปลากระทิง ที่ท่าโรงสีนี้เขาจะใช้ลำไม้ไผ่ลำใหญ่ๆจำนวนมากมาผูกเป็นแพใหญ่ เพื่อลำเลียงข้าวเปลือกที่มาสีและข้าวสารที่สีเสร็จแล้ว หรือสินค้าอื่นๆที่มาอาศัยท่าโรงสีนี้ลงเรือที่แพนี้เพื่อขนส่งทางเรือ

 ปลายไม้ไผ่ลำโตที่เขา นำมาผูกเป็นแพนั้น บางลำก็มีรูเป็นกระบอก บางลำเขาตัดพอดีกับข้อมันก็ไม่มีรูกระบอก

รูกระบอกไม้ไผ่ลำที่อยู่ด้านล่างและจมน้ำนี้แหละที่ เป็นที่อาศัยของปลากระทิง การจับมันหรือตกมันนั้นก็เอาเหยื่อเกี่ยวกับเบ็ด แล้วหย่อนลงไปตรงปลายกระบอกนั้นถ้ามีปลากระทิงอยู่ในนั้นมันก็จะพุ่งออกมากินเหยื่อทันที

 ปลากระทิงนี้ เป็นปลาตัวกลมๆ ที่มีหนังลายเหมือนงูมีเกล็ดเล็กๆ จนมองแทบไม่รู้ว่าเป็นปลามีเกล็ด มีเมือกเล็กน้อยมีเนื้อเยอะ

คนที่เคยได้กินแล้วบอกว่าอร่อยมาก ถ้าคนทำเป็นจะไม่เหม็นคาว ผมมาตกปลากระทิงนี้ที่ท่าโรงสีบ่อยๆ

 และบางครั้งผมกับไอ้เหม่งก็ตกได้ครั้งละหลายตัว เมื่อผมหิ้วกลับไปที่ตลาดมีคนแก่ๆที่ตลาดหลายคน เช่นแป๊ะอู๋เตี่ยเฮียแก่เล็ก ตาเอี๋ย เตี่ยไอ้โล และอีกหลายคนที่บ้านอยู่หลังตลาด ฝั่งบ้านไอ้ธร ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครมั่ง มาขอซื้อปลากระทิงผมบ่อยๆ ได้ตัวละบาท สมัยนั้นก็ไม่เลวนะ

ผมเคยไปดูเขาทำปลากระทิง ที่บ้านหลังตลาดแถวเก่าซึ่งติดกับคลอง ผมกับไอ้เหม่งจำได้ว่าเขาทำเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ประกอบเป็นอาหาร เขาบอกว่าปลากระทิงสดๆนั้นทำอาหารอร่อยได้หลายอย่างมาก (ผมก็ว่าน่าจะเหมือนกับปลาทั่วไปแหละ )

วิธีการทำเท่าที่ผมเห็นที่เขาทำเสร็จแล้วคือหั่นเป็นท่อนๆนั้น ก็คือขั้นแรกเขานำปลานี้ไปล้างเสียก่อน แต่เวลาล้างต้องเคล้าเกลือให้ทั่วก่อนแล้วล้างน้ำหลายๆ ครั้ง

ชาวบ้านมักจะนำปลากระทิงนี้ทำเป็น ปลากระทิงต้มยำ ต้มโคล้ง ปรุงรสจัดให้เปรี้ยวจากมะขามสด แต่ก่อนจะทำต้องล้างให้หมดเมือกจริงๆ แล้วย่างไฟให้มีกลิ่นหอมเสียก่อน

แล้วจึงนำไปต้มในน้ำที่เดือดจัด ใส่เครื่องเทศต่างๆในการต้มยำลงไปก่อน เพื่อให้กลิ่นหอมออกมาดับกลิ่นคาว แล้วจึงใส่ชิ้นเนื้อปลาเนื้อปลาจะสุกหวานอร่อยแซบถึงใจผู้ที่ได้กินจริงๆ

 จะอย่างไรก็แล้วแต่ เชื่อไหมผมกับไอ้เหม่งไม่เคยได้กินเนื้อปลากระทิงที่ผมตกได้เลย เพราะว่าแม่ของผมไม่ยอมทำให้กินเด็ดขาด

ยิ่งป้าม่อมแม่ไอ้เหม่งยิ่งแล้วใหญ่ แกค่อนข้างจะไม่ชอบเอามากๆ เขาว่ามันเหมือนงู ปลาอื่นๆมีกินถมไปทำไมไม่กินแม่ผมบ่นอย่างนี้ อ้าวแล้วผมตกมาทำไมตกมาก็เพราะจะเอาไปขายให้กับคนที่ตลาดที่เขาต้องการนะซี

 ตัวละบาทหรือสองบาทแล้วแบ่งตังค์กับไอ้เหม่งเก็บเอาไว้จะ ไปเที่ยวงานหาดทรายที่โพธาราม กับเฮียแก่เล็กลูกแป๊ะอู๋เพราะได้นัดกันเอาไว้แล้วประมาณกลางเดือนมกราคมนี้แหละ

แล้วไอ้เหม่งล่ะไม่เอาไปให้ทางบ้านมันต้มกินบ้างหรือ ป้าม่อมแม่มันเขาก็ไม่เอาหรอกครับ บอกให้เอาไปให้คนที่เขาชอบเถอะไป๊..... ป้าม่อมแกว่าอย่างนั้น แล้วไอ้เหม่งก็โดนแม่มันบ่นอานไปเลย

 ผมดั้นด้นมาถึงท่าโรงสีแล้วก็เลยเล่านอกเรื่องไป มองจากโรงสี ไปยังท่าโรงเลื่อยซึ่งไม่ไกลกันนัก เห็นมีต้นก้ามปูใหญ่ สองสามต้นขึ้นอยู่ และมีกอไผ่ขึ้นอยู่ที่ริมน้ำ ชายน้ำนั้นเป็นต้อนอ้อขึ้นอยู่รก

ผมกับไอ้เหม่งเดินตรงไปยังรั้วสักกะสีที่เขาตีกันเป็นเขตุเอาไว้ แล้วเอามือช่วยกันดึงเอาสังกะสีที่อ้าออกอยู่แล้ว คงมีคนเคยมุดเข้าไปแล้วเป็นแน่ ดึงออกพอให้มุดเข้าไปได้

ไอ้เหม่งมุดเข้าไปก่อน ผมส่งคันเบ็ดและเหยื่อไส้เดือนในกระป๋องตามเข้าไป เสร็จแล้วก็มุดเข้าไป

โผล่เข้าไปก็เห็นต้นก้ามปูใหญ่ร่มครึ้มมีดอกมีใบและมีฝักของต้นก้ามปูนี้ หล่นลงมาทับถมกันหนาเตอะ คงจะนานมาแล้วที่ไม่มีคนมาทำความสะอาดเลย ตรงริมน้ำไต้ต้นก้ามปูนั้นมีศาลาริมน้ำเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง มันเก่าผุพังเต็มที เสาข้างหนึ่งอยู่ในน้ำ

เราสองคนแบกคันเบ็ดเดินลุยหญ้าที่รกทึบ เนื่องจากไม่มีคนมาตัดและปล่อยไว้เป็นเวลานาน ตรงไปยังศาลาเล็กๆริมน้ำ ซึ่งมีสภาพผุพังแล้ว เราสองคนเดินลุยหญ้าเข้าไปที่ศาลาเล็กริมน้ำหลังนั้น

ผมพูดกับไอ้เหม่งว่า “ เหม่งโว้ยท่าน้ำโรงเลื่อยนี้ทำไมมันจึงรกมากขนาดนี้วะ”

ไอ้เหม่งว่า 
“อย่างนี้ซิดีไม่ค่อยมีคนมากวนปลา ปลาคงมีเยอะ รกก็ชั่งมัน”

 แล้วผมกับไอ้เหม่งก็เดินไปที่ศาลาท่าน้ำนั้นเอามือปัดกวาดใบไม้ที่กระดานพื้นเสียหน่อย แล้วเอาคันเบ็ดกับกระป๋องเหยื่อวางไว้ก่อน แล้วนั่งลงคุยปรึกษากันถึงลู่ทางที่จะวางเบ็ด ตกปลากันตรงไหนดี พร้อมๆกับสอดส่ายสายตา

มองจากตลิ่งเข้าไปยังบริเวณโรงเลื่อยเก่านี้ ทางด้านขวามือติดกับกำแพงปูนของโรงสี ยังมีบ้านหลังใหญ่อีกหลังหนึ่งปลูกอยู่

ท่าทางจะไม่มีคนเฝ้าไม่มีความเคลื่อนไหวไม่มีแสงไฟอะไรทั้งนั้น บ้านใหญ่หลังนี้ผมเข้าใจว่าคงจะเป็นที่อยู่ของเจ้าของ และคงจะทำเป็นที่ทำงานด้วย ในตอนที่เขายังประกอบกิจการโรงเลื่อยอยู่เมื่อก่อนโน้น

เวลานั้นยังไม่ถึงสี่โมงเช้าน้ำในแม่น้ำแม่กลองไหลเอื่อยๆ โดยเฉพาะที่ท่าโรงเลื่อยนี้ น้ำจะวิ่งไหลเป็นสายตรงดิ่งมาจากทางวัดสนามชัย แล้วเลยไปทางท่าใหญ่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน

แล้วน้ำจะเชี่ยวอีกทีก็ตรงวัดใหม่ชำนาญ เพราะตรงนั้นเป็นทางหักเลี้ยวของสายน้ำ ลำน้ำวิ่งเข้ากระแทกตลิ่งที่หักเลี้ยวตรงวัดใหม่ชำนาญนั้น น้ำวนเป็นหลุมลึกน่ากลัวมาก แล้วพุ่งออกทางขวาไปผ่านหน้าวัดวัดบ้านซ่องอีกทีหนึ่ง

มีอยู่คราวหนึ่ง ผมกับเพื่อนๆอีกหลายคนในตลาดเจ็ดเสมียนนี้ วิ่งแข่งกันไปดูเขาจับปลาตรงคุ้งน้ำหน้าวัดใหม่ชำนาญ ที่น้ำไหลวนดูดเป็นหลุมลึกลงไป

วันนั้นจำได้ว่ามีคนจากที่ไหนไม่รู้สมคบกับคนที่เจ็ดเสมียนนั้น ประดิษฐ์ลูกระเบิดที่ระเบิดในน้ำได้ แล้วไปหย่อนระเบิดเอาไว้ต้นๆน้ำ แถวๆกลางแม่น้ำตรงท่าใหญ่แล้วรีบพายเรือหนีไป

สักครู่ได้ยินเสียงทึบๆกระเทือนๆอยู่ไต้น้ำบริเวณท่าใหญ่ ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นก็เห็นปลาใหญ่น้อยทั้งหลาย ในแม่น้ำนั้นลอยขึ้นมาเป็นแพขาวไปหมด บางตัวก็ตายสนิทแล้วแต่บางตัวที่เป็นปลาใหญ่หน่อย ก็ยังดิ้นกระแด่วอยู่

ฝ่ายพวกที่พายเรือหนีแรงระเบิดนั้นก็หวนกลับมาอีกครั้ง พร้อมด้วยพรรคพวกที่ได้แนะกันไว้อีกหลายลำ มีอุปกรณ์ เช่น สวิง และถังสำหรับใส่ปลา รีบมาจับปลาที่มองเห็น มันลอยหงายท้องป่องเป็นแพอยู่

มีพวกเจ็ดเสมียนหลายคนเหมือนกัน ที่เป็นคนโตแล้ว รีบว่ายน้ำออกไปจับกันกับเขาด้วยได้มาคนละหลายๆตัว แต่ถ้าหากได้ตัวใหญ่ๆเช่นปลาค้าว ปลายี่สก ปลาตะเพียน ปลากราย ที่ลำตัวแบนๆมีจุดดำๆไปตลอดจนถึงหาง

คนที่เป็นผู้หย่อนระเบิดลงน้ำนั้น ก็จะพายเรือมาขอเอาคืนไปเสียฉิบ เขาบอกว่าเขาเป็นผู้ลงทุนเขาก็ต้องได้มากๆหน่อย

บางรายมีเรื่องกันไม่ยอมให้ปลาเขา บอกว่าปลามันอยู่ในน้ำไม่มีเจ้าของจะเอาไปได้อย่างไร มีการเอาพายฟาดกันด้วยทะเลาะกันเป็นการใหญ่

สายน้ำตรงศาลาหลังเล็ก ที่เรานั่งพักกันอยู่ภายในรั้วโรงเลื่อยนั้นยังไหลเอื่อยๆ พัดพุ่มต้นอ้อที่อยู่ชายๆน้ำสั่นระริก ต้นก้ามปูใหญ่สองต้นที่ขึ้นอยู่ริมน้ำให้ร่มเงามืดครึ้ม

เราสองคนนั่งดูบริเวณรอบๆสถานที่กันหลายรอบ จริงๆแล้วเราไม่ค่อยได้มาหาปลาในบริเวณนี้มาก่อนหรอก โดยมากมักจะไปหากันแถวตีนท่าที่ไม่เปลี่ยวนัก

วันนี้ไอ้เหม่งมันเป็นคนออกหัวคิด ว่าทางนี้น่าจะมีปลาชุม ตามที่ได้กล่าวมาแล้วผมก็เห็นดีด้วย

นั่งคุยกันสักพักเพลพอดีผมจึงได้เริ่ม เอาคันเบ็ดที่วางไว้กับพื้นศาลานั้น มาคลี่สายเบ็ดออกไม่ให้มันพันกัน

ไอ้เหม่งก็เตรียมตัวทำแบบผม ผมเอาเหยื่อซึ่งเป็นไส้เดือนยังเป็นๆอยู่ มาเกี่ยวกับตัวเบ็ดเกี่ยวไปหลายๆรอบให้มันเป็นก้อนโตๆ นี่เป็นแบบเกี่ยวเหยื่อเพื่อตกปลาตัวใหญ่ๆนะ ถ้าบังเอิญปลาใหญ่ๆมันเห็นเหยื่ออย่างนี้ละก็ มันก็จะรีบฮุบทันที

ผมกับไอ้เหม่งนั่งตกปลากัน อยู่ที่ริมศาลานั้นจนกระทั่งเที่ยง ยังไม่ได้ปลาเลยสักตัว เลยเที่ยงไปมากแล้วรู้สึกหิวข้าว ผมก็เลยบอกไอ้เหม่งว่า

“เฮ้ยเหม่งเรากลับกันเถอะ มึงบอกว่าปลาแถวนี้ต้องมีเยอะไง จนป่านนี้แล้วยังไม่มากินเบ็ดเราสักตัว หิวข้าวแล้วโว้ย”

“ไอ้เหม่งบอกว่า อีกสักประเดี๋ยวน่าให้ผมประเดิมสักตัวก่อนนะพี่เก้ว 
"
ผมบอกว่า “จะบ่ายแล้ว เรากลับไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า เรื่องอื่นแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีไหม”

ไอ้เหม่งก็เห็นดีด้วย เพราะว่ามันก็หิวข้าวเหมือนกัน
เราจึงเก็บคันเบ็ดและเดินกลับบ้าน ผ่านท่าโรงสีและท่าวัดเหมือนเมื่อขามา

ก่อนจะเข้าบ้าน ไอ้เหม่งมันก็มีความคิดและบอกให้ผมฟังอีกว่า 
“พี่เก้ว ผมว่าเอาอย่างนี้ไหมตอนค่ำๆวันนี้เราย้อนกลับไปที่นั่นอีกที คราวนี้เอาเบ็ดไปวางเลยกันดีกว่า ปักไว้สักห้าหกคันแล้วพอตอนเช้าวันพรุ่งนี้ค่อยไปกู้กัน ผมยังข้องใจไม่หายนะพี่ ว่าไอ้ทำเลตรงนั้นมันน่าจะต้องมีปลาเยอะแน่ๆเลย”

ผมฟังไอ้เหม่งมันเสนอมาแล้ว มาคิดดูก็เห็นด้วยกับมัน ว่าตรงนั้นที่จริงแล้วมันควรจะมีปลามากมาย ผมก็บอกมันว่า

“มันจะมีมากขนาดนั้นเลยหรือว่ะ"

“เชื่อผมสิ ผมดูไม่ผิดหรอก”

ทีแรกผมก็ยังทำท่าอิดออดอยู่ ไอ้เหม่งมันคงกลัวว่าผมจะไม่ไปด้วย

“เอาน่าไอ้เหม่งว่า ลองไปดูกันอีกสักครั้ง ไปปักเบ็ดกันเดี๋ยวเดียวก็กลับ ไม่ได้ไปนั่งกันนานนี่นา แล้วพรุ่งนี้เช้าวันเสาร์เราค่อยไปกู้กัน ค่ำนี้แม่ผมก็ไม่อยู่ไปงานศพ ตรงบ้านข้ามทางรถไฟไปนั่น"

เออ !จริงๆด้วยผมคิดได้แม่ผมก็ไม่อยู่ ไปงานศพลุงปลูกกับแม่ไอ้เหม่งมันเหมือนกัน เราคงจะกลับมากันก่อนแม่ของเรากลับมาจากงานศพนั่นเทียว

เพราะว่าถ้าค่ำมืดแล้วเวลาจะออกไปไหน ก็ต้องบอกพ่อแม่หรือผู้ใหญ่เสียก่อน ในกรณีนี้จึงไม่ต้องบอก เพราะว่าเราจะรีบไปปักเบ็ดและก็จะรีบกลับมาก่อนเขากลับ จะได้ไม่ถูกดุและอาจจะโดนทำโทษด้วย

คิดได้ดังนั้นแล้วก็เลยตกลงกับไอ้เหม่งว่าราวๆสัก ๖ โมงเย็นกว่าๆจะเตรียมเครื่องมือให้พร้อมแล้วเจอกัน

แล้วผมก็ไปเล่นขว้างลูกโจ๊ว (ลูกข่าง) กับพวกไอ้อู๊ด ไอ้โห้ และเด็กหลายคนที่หลังสถานีรถไฟ พอเย็นหน่อยผมก็มานั่งเล่นที่ร้านหน้าบ้าน

ฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน มี เจ๊จรัส ลูกป้าม่อมขายปูนกินกับหมากที่มีบ้านอยู่เลยโรงเลื่อยไปทางวัดสนามชัย พี่สะอาง กับพี่สะอาด ซึ่งเป็นช่างทำผมอยู่ในตลาด

และคนอื่นอีกหลายคนเขาคุยกันท่าทางสนุกสนาน เห็นหัวเราะกันครืน แต่ผมก็จำไม่ได้แล้ว ว่าคุยกันเรื่องอะไรมั่ง

ตกค่ำวันนั้นไอ้เหม่งมันก็เตรียมพร้อม มีเบ็ดที่จะเอาไปปักไว้หลายคัน สำหรับผมหาตะเกียงโป๊ะเก่าๆได้ลูกหนึ่ง เห็นแม่บอกว่าใช้มาตั้งแต่สมัยสงคราม ตอนผมเกิดพอดี

เวลามีความจำเป็นก็ใช้จุดเรื่อยมา (ไม่เห็นไฟฉาย ผมหาไม่เจอ หรือแม่จะเอาไปงานศพ)

และเหยื่อซึ่งเป็นไส้เดือนอีกกระป๋องหนึ่ง ผมถือไม้รวกอันเหมาะมือไปด้วยอันหนึ่ง เผื่อหมาที่วัดหรือที่โรงสีไล่กัดจะได้ตีมันเพราะว่าขากลับจะมืด และเอาไว้เผื่อตีงูด้วยเพราะสถานที่มันรกเหลือเกิน

เกือบทุ่มแล้วผมกับไอ้เหม่งแบกคันเบ็ดหลายคันที่จะเอาไปปัก ผมกับไอ้เหม่งเดินผ่านตลาด เห็นมีกลุ่มเด็กหญิงที่ตลาดนั่งคุยกันที่หน้าบ้านอี๊น้อยซึ่งเป็นร้านขายของชำ โดยไม่ได้สนใจผมทั้งสองคน

อีกประเดี๋ยวเราก็เดินผ่านท่าวัด ซึ่งตอนนี้มืดแล้วเห็นแสงไฟที่วัดยังเปิดสว่างอยู่ หมาที่วัดเห็นคนเดิน ตะคุ่มๆอยู่ก็เห่ากันเกรียว แต่ผมก็ไม่กลัวอะไรหรอกเพราะว่าผมชินเสียแล้ว

เพราะว่าเมื่อวันออกพรรษาที่ผ่านมา ผมกับไอ้เหม่งก็มาสมัคร เป็นลูกศิษย์วัดของ หลวงตาโก๋ ได้สามวันก็ลาออก จะมาเป็นอีกก็เฉพาะหน้าเทศกาลเท่านั้น ขนมที่วัดมากมายดี

อากาศซึ่งมืดครึ้มที่เขางูซึ่งอยู่ไกลออกไปลิบๆ ตั้งแต่ตอนบ่ายพอถึงตอนนี้เริ่มมีลมแรงมาทางบ้านเรา ฝนก็เริ่มจะลงเม็ด เปาะแปะ ถูกตัวเราบ้างแล้ว ผมบอกไอ้เหม่งว่า

“ฝนมันจะตกหนักหรือเปล่าก็ไม่รู้ซี ชักไม่ค่อยจะดีแล้วนะ เอาไว้ พรุ่งนี้ค่อยลงมือกันใหม่จะดีไหม” ผมหันมาถามไอ้เหม่ง
ไอ้เหม่งว่า

" ฝนนิดหน่อยน่า เรามาถึงตรงนี้และเตรียมอะไรมาแล้ว นี่ก็เกือบถึงแล้ว ปักเบ็ดเดี๋ยวเดียว เราไม่ได้ยืนตกกันนี่นาคงไม่นานหรอก "

"เอ้าไปก็ไป " ผมว่า แล้วเราก็มาถึงท่าโรงสีพอดีกับฝนที่ตกลงมาหนาขึ้น

ผมกับไอ้เหม่งรีบตรงไปยังรั้วสังกะสี มุดรั้วสังกะสีตรงที่เดิมของรั้วโรงเลื่อยร้างที่ผุพัง เข้าไปเดินฝ่าต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นรกมากนั้นเสื้อกางเกงเริ่มเปียกเพราะฝน นิดเดียวเท่านั้นก็มาถึงยังจุดหมายของเรา คือที่ศาลาเก่าๆ ท่าน้ำนั้น

เข้าไปที่ศาลาเล็กๆเก่าๆแล้วผมจุดตะเกียงโป๊ะด้วยไม่ขีดที่ติดตัวมา ติดแล้วก็ไขให้สว่างขึ้น ส่วนไอ้เหม่งมันก็รีบเอาเหยื่อไส้เดือนเกี่ยวเบ็ด ห้าอันนั้นด้วยความชำนาญ ฝนตกลงมามากกว่าเดิมนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับ ซู่ลงมาทีเดียว เปียกเสื้อพอชื้นๆ

“พี่เก้ว” ไอ้เหม่งมันเรียกผม แล้วมันก็พูดขึ้น

" พี่เอาตะเกียงวางไว้ตรงนั้นแหละ แล้วช่วยกันถือคันเบ็ดที่เกี่ยวเหยื่อแล้วนี้ไปปักกันเถอะ ไม่ต้องไปไกลหรอกนะเว้นระยะกันนิดหน่อยก็พอ "

แล้วมันก็เดินถือคันเบ็ดนำหน้าผมเหยียบลงไปที่ชายน้ำริมตลิ่งไต้ร่มต้นก้ามปูซึ่งมีต้นอ้อขึ้นรกอยู่ ตรงใกล้ๆกับกอไผ่ที่บางส่วนขึ้นอยู่ในน้ำนั้น

ท่ามกลางความมืดสลัวๆ ต้นก้ามปูใหญ่โบราณนั้นกิ่งก้านของมันยังช่วยบดบังความสว่างของท้องฟ้าให้มืดลงอีก ฝนก็ยังโปรยปรายมาเป็นระยะ

ผมกับไอ้เหม่ง เดินท่องน้ำดังจ๋อมๆหาทำเลที่จะปักเบ็ดให้ได้ที่ดีที่สุด บางตอนลึกถึงโคนขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือคันเบ็ดนั้นของผม ก็คอยปาดฝนที่ตกลงมาถูกหน้าที่หนาเม็ดขึ้น เสียงไอ้เหม่งว่า

“พี่เก้วปักได้บ้างหรือยังผมปักได้สามอันแล้วนะ ผมว่า พรุ่งนี้อย่างน้อยก็สี่ตัวแหละต้องได้แน่นอน”

ผมก็พยักหน้าแต่มันจะมองเห็นผมพยักหน้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะว่าตะเกียงโป๊ะส่องแสงมาไม่ถึง

ผมเห็นฝนทำท่าจะตกลงมามากแล้ว ผมจึงปักเบ็ดสองอันที่อยู่ในมือผมไกลจากไอ้เหม่งมันหน่อยหนึ่ง แล้วลุยน้ำที่อยู่เลยเข่าขึ้นมาอีก เสียงหมาที่โรงสีมันเห่าหอน ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกัน

ผมเดินกลับมาที่ศาลาเล็กนั้น เห็นไอ้เหม่งมันปักเบ็ดเสร็จก่อนผมแล้วมายืนรอผมอยู่ตรงศาลาเล็ก ตรงที่ผมตั้งตะเกียงโป๊ะติดริบหรี่ๆอยู่นั้น

ฝนก็เริ่มตกลงมาแรงขึ้นอีก พอผมเดินมาถึงที่ไอ้เหม่งรออยู่ ผมก็บอกไอ้เหม่งว่า

“เฮ้ยเหม่งเรารีบกลับกันเลยดีกว่าเบ็ดก็วางเสร็จแล้ว อย่าไปรออะไรเลยมันมืดเปียกก็เปียกว่ะ”

“ผมเสร็จแล้วก็รอพี่อยู่นี่แหละ “ ไอ้เหม่งว่า ผมจัดแจงคว้าตะเกียงที่ริบหรี่เต็มทน

“น้ำมันคงจะหมดแหละท่า” ผมว่า

ขณะนั้นมีลมกระโชกแรงมาหน่อยตะเกียงก็ดับ ความมืดบริเวณนั้นปกคลุมเข้ามาเต็มที่ ผมความหาไม้ขีดในกระเป๋าโธ่กล่องไม้ขีดก็ดันเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวเก่งของผมด้วยซี

เสื้อตัวบางแขนยาวมีลายเป็นตาหมากรุกสีดำแดง ที่ผมชอบเอาไปอวดเพื่อนๆบ่อยๆ เวลาจะไปเที่ยวที่ไหนกันนั่นเอง

ไม่ขีดเปียกหมดทั้งกล่อง ผมลองเอาออกมาขีดเท่าไรก็ขีดไม่ติด เวรกรรมจริงๆ

ในท่ามกลางความมืดนั้น ฝนก็ยังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่หนักมากนัก ไม่ถึงกับขนาดห่าใหญ่ ผมบ่นกับไอ้เหม่งมันว่า

“ก็พี่บอกแล้ว กลับบ้านกันตอนที่ฝนจะเริ่มตกก็ดีแหละ” ไอ้เหม่งก็ว่า

“แหมพี่ละก้อโทษผมอยู่เรื่อยเชียว” แล้วมันก็หัวเราะ

ผมคว้าตะเกียง และกำหนดทางในใจแล้วว่ามันต้องเดินตรงไปทางนี้อีกหน่อยหนึ่ง แล้วก็ถึงรั้วเก่าๆ ผุๆ ของโรงเลื่อยร้างแห่งนี้ แล้วมุดออกไปก็จะโผล่ที่ท่าโรงสีพอดี ไม้สำหรับตีงู ตีหมาของผม ก็หล่นลงไปในน้ำไต้ศาลาเสียแล้ว

ในขณะที่ผมคิดอยู่นั้น เสียงกบเขียดก็ร้องกันให้เซ็งแซ่ ในบริเวณต้นไม้ใบหญ้าที่รกครึ้มนั้น

เสียงไอ้เหม่งมันร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ 
 คิดว่ามันไม่ใช่เพลงหรอกนะ เพราะว่ามันสั้นๆ ผมเคยได้ยินมันร้องบ่อยๆ เวลามันไปกับผม ผมเคยถามมันว่า เพลงอะไรของมึงวะ มันก็บอกว่าไม่รู้ มันได้ยินมาตั้งแต่เกิดแล้ว

คนที่บางโตนดบ้านเก่าของมันชอบร้องกันอยู่เรื่อยๆ คราวนี้มันก็ทำลายความเงียบขึ้นมาอีก ผมได้เคยฟังมันร้องมาแล้ว มันเหมือนล้อเลียนเสียงกบ เขียดนั่นแหละ

“อึ้ง อ่าง เหล่นตูดกันละมั๊ง เปล๊า แฮะแอะ สาวมีผ่าหนุ่ง ผ่าอ่อมเด๊กๆ ต๊กเบ๊ด ก็ ไหม่ ด่าย ถึงต๊กด่าย ก่อ ไหม่ ดี๊”

เสียงมันร้องอย่างนี้จริงๆ (ท่านผู้อ่านลองทำเสียงเหมือนมันดูสิ มันขำดีนะ) แล้วมันก็ร้องวนไปวนมาอีกหลายเที่ยว จนกระทั่ง มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้มันหยุดร้องเพลง

ในขณะที่ผมคว้าตะเกียงได้แล้ว กำลังจะเดินออกจากตรงนั้น และไอ้เหม่งกำลังร้องเพลงอยู่นั้น มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาค่อยๆ เลยกอไผ่นั้นไปทางเหนือซึ่งยังมองไม่เห็น

ไอ้เหม่งมันหยุดร้องเพลงของมันทันที แล้วเงี่ยหูฟัง เสียงที่ดังเพิ่มขึ้นเรื่อย นั้นมันดังมาจากชายน้ำหลังกอใผ่นั่นเอง

เสียงเหมือนพายเรือดังจ๋อม ๆ ๆ ๆตรงมายังพวกผม อ๋อเสียงพายเรือของคนหาปลานั่นเองผมคิด แถวๆชายฝั่งของแม่น้ำนั้นปกติแล้ว จะมีคนพายเรือหาปลาอยู่เสมอ

ผมกับไอ้เหม่งใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง สักครู่ก็เห็นเรือเล็กๆลำหนึ่ง ซึ่งเหมือนจะเป็นเรือหาปลา โผล่พ้นดงต้นอ้อใกล้กอไผ่ เข้ามาในร่มเงาของต้นก้ามปูแล้วตรงมายังศาลา ที่ผมกับไอ้เหม่งหลบฝนกันอยู่

มีตะเกียงโป๊ะคล้ายๆกับแบบของผมจุดมาเห็นแสงริบหรี่ วางอยู่ตรงกลางลำเรือดวงหนึ่งด้วย ฝนตกลงมาไม่มากอย่างนี้ โป๊ะแก้วของตะเกียงแบบนี้กันได้ดีทั้งลมทั้งฝนเลยทีเดียว

ผมกับไอ้เหม่ง พยายามเพ่งมองชายหาปลาคนหนึ่งที่กำลัง จะนำเรือเข้ามาจอดหลบฝนที่ศาลาแห่งนี้

พยายามดูให้ได้ว่าคนหาปลาคนนี้เป็นใคร เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นคนแถวๆนี้จะรู้จักกันหมด

ชายคนนั้นใส่กางเกงจีนผูกเอวและเสื้อสีดำหมดทั้งชุด ที่หัวมีผ้าขาวม้าเก่าๆ หมองคล้ำแล้วมีลายตาหมากรุกโพกหัวอยู่ อากาศสลัวจนมองเห็นหน้าไม่ชัด ถ้าเป็นคนทางตลาดหรือนอกๆออกไปหน่อยผมก็จะรู้จักอย่างที่ผมว่าแล้ว

ถ้าเป็นคนรู้จักก็ดีจะได้ทักทายกันด้วย เขาจอดเรือแล้วเอาเชือกผูกเรือไว้ตรงเสาศาลาที่ปลูกล้ำไปในน้ำ เสร็จแล้วก็เดินลุยน้ำขึ้นมาทางผมกับไอ้เหม่ง

พอมาใกล้ที่จะเห็นกันแล้วผมค่อยโล่งอกออกมาหน่อย ไอ้เหม่งก็มีอาการเดียวกับผม

ลุงปลูกนั่นเองคนที่เดินขากระเผลก เพราะว่าขาแกเสียไปข้างหนึ่งไม่รู้ว่าไปโดนอะไรที่ไหนมานานแล้ว

ผมเห็นแกเดินไปตลาดบ่อยๆ ไปหาซื้อเหล้า 30 ดีกรี ที่ห้องแถวร้านเจ๊เซี้ยมกิน แล้วก็เดิน กระเผลกกลับบ้านแกที่ริมทางรถไฟ บ้านแกอยู่ริมทางรถไฟใกล้ๆบ้านป้าแหลวขายขนมจีน

เมื่อผมเห็นดังนั้นผมก็เลยร้องทักแกไปว่า “อ้าวลุงไปไหนมาเนี่ย... หือ”

แกบอกเสียงแหบๆว่า
“ไปวางเบ็ดทางโน้นมา ฝนมันตกก็เลยว่าจะมาแวะหลบฝนตรงนี้สักหน่อย แล้วพวกแกล่ะไปไหนกันมา”

ผมตอบว่า
“พวกผมมาวางเบ็ดกันน่ะลุง เสร็จแล้วจะกลับกันอยู่แล้ว ลุงมาพอดีเลย”

“เออรีบๆกลับกันหน่อยนะ” แกว่า

“มืดๆอย่างนี้แถวนี้มันอันตรายงูก็ชุมไม่ค่อยมีคนมากันหรอก เดี๋ยวแม่มึงเสร็จจากงานศพแล้วไม่เห็นพวกมึงจะโดนตีซะเปล่าๆ ลุงต้องไปก่อนละฝนชักซาเม็ดแล้วหละ”

แกว่าแล้วก็เดินไปที่เสาศาลาที่ผูกเรือไว้แก้เชือกออก แล้วก้าวขึ้นเรือพายเรือออกไปทางตลาดได้ยินเสียงพายกระทบน้ำดัง จ๋อมๆ เห็นแต่แสงไฟแดงๆ วาบๆ ที่ปลาย มวนยาสูบของแกห่างออกไปจนลับตา

“อ้าวแกมาแวะนิดเดียวแล้วแกจะรีบไปไหนของแกวะน่ะ”

ผมบอกไอ้เหม่ง แต่ไอ้เหม่งมันเฉยๆไม่ออกความเห็นมา
และแล้วในทันใดนั้นผมก็ฉุกคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง อยู่ๆเส้นผมบนหัวและขนที่แขนลุกพรวดขึ้นมาทันที ผมบนหัวงี้ชี้เด่

ผมคว้าตะเกียงโป๊ะได้แล้วลากไอ้เหม่ง ออกมาจากศาลานั้น โดยที่ไม่ได้บอกอะไรไอ้เหม่งเลยสักคำ

ไอ้เหม่งมันก็นกรู้มันรู้ว่าต้องมีอะไรสักอย่างเป็นแน่แต่ขณะนั้นมันยังคิดไม่ออก มันจึงออกวิ่งฝ่าความมืดสลัวๆนั้น ตามผมมาอย่างไม่คิดชีวิต

ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายลงมาในความมืดสลัวๆนั้น ผมและไอ้เหม่งวิ่งลุยต้นไม้ใบหญ้า เนื้อตัวมอมแมมไปหมด

มือหนึ่งก็ถือตะเกียงโป๊ะอีกมือหนึ่งวาดไปข้างหน้ากลัวจะไปชนอะไรเข้า เพราะความมืด จนมาถึงรั้วจนได้แล้วมุดรั้วเก่าๆ ผุๆ ของโรงเลื่อยร้างนั้นออกมาแล้ว วิ่งตื๋อด้วยความเร็วสูงสุดขนลุกชันสุดขีด

ผ่านท่าน้ำโรงสีมาแล้วได้ยินหมาวัดเห่ากันเกรียว วิ่งอีกประเดี๋ยวก็มาถึงหน้าตลาด

บ้านไอ้เหม่งที่เป็นร้านถ่ายรูป ติดกับบ้านผมยังสว่างไสวไปด้วยแสงไฟฟ้า ตอนนั้นเพิ่งจะประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆเท่านั้น

ผมกับไอ้เหม่งวิ่งมาหอบกันอยู่ที่หน้าตลาด มือข้างหนึ่งของผมถือตะเกียงโป๊ะอยู่ หน้าซีดเหลืองเป็นไก่ต้มทั้งคู่

มีเด็กตลาดเดินผ่านมามองผมกับไอ้เหม่งด้วยความสงสัยแต่ไม่พูดอะไร พวกเขาคงคิดว่าผมไปเล่นฟุตบอล ที่หน้าโรงเรียนกันมาเป็นแน่

พอจะหายเหนื่อยดีแล้ว ไอ้เหม่งมันถามผมว่า มีอะไรหรือพี่ทำไมต้องรีบวิ่งกันมาขนาดนี้ด้วย แม่เราไปงานศพลุงปลูกยังไม่กลับกันเลย เพราะว่าเพิ่งสองทุ่มพระก็คงเพิ่งเริ่มสวดละมั๊ง

ผมถามไอ้เหม่งว่า 
 “เฮ้ยเหม่งคนที่แม่มึงกับแม่กูไปงานศพเขานั่นน่ะ ขาเสียข้างหนึ่งใช่ไหมวะ”

ไอ้เหม่งก็พยักหน้าแล้วว่าใช่พี่ ผมพูดต่อว่า
"แล้วก็คนที่พายเรือไปหาเราที่ศาลาโรงเลื่อยร้างเมื่อกี้นี้นั่นน่ะ ขาก็เสียข้างหนึ่งเดินโขยกเขยกมึงไม่เห็นหรือ"

ไอ้เหม่งเพิ่งนึกได้ขนหัวขนแขนมันลุกเกรียว แล้วพูดว่า
"แกเดินเหมือนขาสั้นข้างหนึ่งจริงๆด้วย ผมเห็นหน้าลางๆมองไม่ถนัด” ไอ้เหม่งตัวสั่น

“ชิ๊บหาย...! โดนผีหลอกเสียแล้วละกูมิน่าล่ะผมเห็น แกเอาใบตองขึ้นมามวนกับเส้นยาสูบ มวนใหญ่เท่าด้ามพายยาวเป็นคืบ สูบแดงวาบวาบแน่ะ” ไอ้เหม่งมันสบถออกมาดังลั่น

รุ่งเช้า ผมกับไอ้เหม่งก็ไม่ได้ไปกู้เบ็ดที่ปักไว้ และผมก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เดี๋ยวมันจะหาว่าผมบ้าหรือตาฝาดไป

แต่ผมยืนยันได้ว่าผมเห็นลุงปลูกที่แกตายเพราะแกเมา แล้วเดินตามทางรถไฟจะเข้าบ้าน เลยถูกรถไฟเฉี่ยวเอาไปตายโรงพยาบาลโพธาราม

ตั้งศพสวดที่บ้านได้สองคืนแล้ว แกไปหาผมให้ผมกับไอ้เหม่งเห็นจริงๆ

ตั้งแต่นั้นมา ผมและไอ้เหม่งก็ไม่ได้ผ่านเข้าไปวางเบ็ดที่ริมน้ำ ภายในโรงเลื่อยร้างนั้นอีกเลย...