เรารักสุพรรณ สถานที่ท่องเที่ยวสุพรรณบุรี

  20090811 1340502935   

ที่ตลาดเจ็ดเสมียนซึ่งมีเพียงสองแถวหันหน้าเข้าหากัน บ้านกำนันคือห้องที่อยู่ริมสุดซ้ายมือของภาพ ที่ลานกว้างระหว่างตลาดนั้น มีต้นก้ามปูต้นใหญ่ ในปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว

ในสมัยก่อนๆนั้นเมื่อผมยังอยู่ที่เจ็ดเสมียน ผมสังเกตเห็นเด็กตลาดเจ็ดเสมียนแทบทุกคน นิยมให้แม่หรือคนเลี้ยงขยำข้าวให้กิน ถ้าไม่ใช่ไข่เป็ดไข่ไก่ต้ม ก็ปลาทูทอดกลิ่นหอมฉุย (ปลาทูนึ่งร้านป้ายุ้ยขายที่หน้าบ้านกำนันไต้ต้นก้ามปูมีร้านเดียว)  คิดแล้วน้ำลายพาลไหลยืดออกมาที่มุมปากเชียว..!

อาจจะมีน้ำแกงจืดผักตำลึงหมูสับผสมลงไปด้วยนิดหน่อย แล้วใส่น้ำปลาที่คนเจ็ดเสมียนส่วนใหญ่จะทำไว้กินเอง จากปลาสร้อยแท้ๆที่จับได้ในหน้าน้ำขึ้น คลุกเคล้าลงไปอีกนิดหน่อย เพื่อให้มีรสชาติดียิ่งขึ้น 

เด็กตลาดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้นเหล่านี้ เมื่อแม่ของแต่ละคนส่งชามข้าวให้แล้ว ก็ไม่ได้กินที่บ้านหรือหน้าบ้านหรอกนะ รับชามข้าวแล้วก็เดินร่อน ไปกินกับเพื่อนหรือไปโม้ที่บ้านโน้นบ้างบ้านนี้บ้างภายในตลาด ถ้าเป็นมื้อเย็นละก้อบางที ก็เดินถือจานข้าวนี้เดินตามพรรคพวกไปเป็นพรวน โน่น ไปกินกันที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนโน่นเลย ผมก็ยังเคยถือจานข้าวที่ขยำกับไข่ต้มไปกินที่สนามหน้าโรงเรียนบ่อยๆตรงฐานเสาธงของโรงเรียนเป็นหลัก

มีเด็กรุ่นหลังผมคนหนึ่ง ผมไม่ขอเอ่ยชื่อเพราะว่าเวลานี้เขาก็ยังอยู่ ทำงานเป็นใหญ่เป็นโตร่ำรวยเงินทองเสียด้วย ก็ถือชามข้าวเดินร่อนไปกินที่สนามหญ้า หน้าโรงเรียนเหมือนกัน ในวันนั้นพวกผมแบ่งพวกเตะบอลกันอยู่ เห็นเด็กคนนี้วางจานขัาว แล้วก็นั่งกินข้าวอยู่ตรงเสาธงใหญ่ที่หน้าโรงเรียนซึ่งอยู่ตรงสนามหญ้า

 20090811 1105355073

บริเวณเสาธงหน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน มีฐานกว้าง จะมีคนมานั่งพักที่ฐานเสาธงนี้เสมอๆ

จนกระทั่งเกือบชั่วโมงผ่านไป พวกผมเลิกเตะฟุตบอลกันแล้ว เพราะเหนื่อยและก็ใกล้ค่ำ จึงพากันเดินมานั่งพักกันตรงเสาธง เห็นเด็กคนนั้นนั่งเฝ้าชามข้าวอยู่ที่เดิม ข้าวก็ยังเต็มชามอยู่อย่างนั้น

ด้วยความสงสัยผมจึงเข้าไปดูใกล้ๆ  ปั๊ดโธ่เอ๋ย..! ข้าวยังไม่พร่องไปเลย ตั้งแต่มันมาที่สนามหญ้านี้ คิดว่ามันเพิ่งเอาข้าวเข้าปากได้เพียงช้อนเดียวแท้ๆ แล้วมันก็อมข้าวช้อนนี้เอาไว้ในปากมันจนข้าวจืดหมดแล้ว จืดแล้วก็จืดอีกดูดอยู่นั่นแหละ น่าจะชืดไปหมดแล้วมันก็ยังอมข้าวคำนั้นต่อไปอยู่นั่นเอง เฮ้อ เวร....!

 20090811 1715594870

ที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน ในตอนเย็นแดดร่มลมตกแล้ว จะมีคนในตลาดพาลูกหลานมานั่งเล่นที่สนามหญ้านี้

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วผมยังจำได้ว่า แม่ผมขยำข้าวกับปลาทูให้แล้ว ผมก็เดินถือชามข้าวไปที่บ้านป้าเอ็งซึ่งเป็นร้านขายยา ห้องแถวอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านผม และติดกับร้านกาแฟต้นตระกูลกาแฟโบราณ ของเฮียแก่เล็กแป๊ะอู๋ เด็กตลาดเจ็ดเสมียนก็อย่างนี้แหละครับ มีแต่ความสุขเสียจริงๆ

ผมไปหาแลกินข้าวกับไอ้อู๊ดและนายสิทธิ์  (รังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์) สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน เป็นลูกของป้าเอ็งและลุงเบี้ยว ในชามข้าวของทั้งสองนั้นป้าเอ็งขยำข้าวกับไข่ต้มให้กินทั้งคู่ พวกเราก็กินหมดในเวลาอันสมควร ไม่ได้อมข้าวเลยนะครับ

 

 20090811 1268906646

เด็กตลาดเจ็ดเสมียน แถวหน้า ระฆัง  (ซ้าย) สิทธิ์ (กลาง) อารีย์ (ขวา) 

แถวหลัง แก้ว (นั่งสูง ผู้เขียน) ธร (นั่งไกล) มูล ลูกป้าแจ่ม (นั่งกลาง) อู๊ด (ขวาสุด)

ผมเดินเข้าไปหาไอ้เหม่งแล้วคุยให้มันฟังดังที่ผมได้ยินมา แล้วชวนมันถีบจักรยานไปดูลู่ทางไว้ก่อน ว่าจะมีเปลือกหอยกาบตามที่ลุงชูคนท่ามะขามบอกหรือไม่ ไอ้เหม่งบอกว่า

"รอเดี๋ยวกินข้าวให้เสร็จก่อน แล้วจะไปบอกแม่ถ้าแม่ให้ไปก็จะไปกันเลย" ผมบอกว่า

"เที่ยวแรกนี้คงไม่ต้องเตรียมอะไรไปกันหรอก เราจะไปดูลาดเลากันเฉยๆก่อน"

ไอ้เหม่งพยักหน้ารับรู้ แล้วผมก็เดินเข้าบ้านเพื่อไปกินข้าวเหมือนกัน

  20090927 1047919559

คนอง คุ้มประวัติ (เหม่ง) เพื่อนรุ่นน้องของผู้เขียน

เที่ยงวันกว่าๆแล้ว ไอ้เหม่งมารอผมอยู่ที่หน้าบ้านผม พร้อมกับจูงจักรยานมาด้วย ผมนั่งอยู่ในบ้านมองเห็นไอ้เหม่งจูงจักรยานมา ผมคิดว่าแม่มันคงอนุญาตให้มันไปได้ ผมจึงเอาของที่เตรียมไว้ มีกระสอบป่านขนาดใหญ่ที่เขาใส่ข้าวสารที่โรงสี ๒ใบ เสียมสำหรับขุดคุ้ยดินเล็กๆสั้นๆ ๒ อันเอาติดไปด้วย เผื่อจะลองไปเขี่ยๆดูตรงที่ลุงชูแกบอกสถานที่ไว้แล้ว และคิดว่าต้องไปถูกที่แน่นอน

พร้อมแล้วผมกับไอ้เหม่งถีบจักรยานกันคนละคัน มุ่งหน้าออกไปจากตลาดเจ็ดเสมียน ข้ามทางรถไฟผ่านตลาดใหม่ (ตลาดนอก) เห็นที่บ้านป้าฮวยก็ยังมีการซื้อเปลือกหอยกาบกันอยู่เรื่อยๆมีคนมุงดูกันอยู่หลายคน

สังเกตได้จากที่หน้าห้องแถวของป้าฮวยมีคนมุงดู ตาชั่งขนาดใหญ่ที่กำลังชั่งเปลือกหอยกาบอยู่  ผมกับไอ้เหม่งไม่ได้แวะที่ห้องแถวป้าฮวยหรอกครับ ถีบจักรยานคุยกันไปเรื่อยๆ ไม่ถึง ๒๐ นาทีก็ถึงหัวหนอง (หนองบางงู) ซึ่งเป็นทางแยกจากถนนเพชรเกษม (ถนนรถยนต์ที่วิ่งลงไปทางไต้) ถีบรถไปตามถนนถนนใหญ่ (ถนนเพชรเกษม)ไม่นานก็ถึงทางแยกเข้าวัดท่ามะขามแล้วก็เลี้ยวรถ เข้าไปตามซอยวัดท่ามะขาม

ถนนทางเข้าวัดท่ามะขามในสมัยนั้น เป็นถนนเล็กๆสองข้างทางไม่ค่อยมีบ้านเรือนเท่าไรนัก มีแต่ต้นกอไผ่ป่าที่ผึ้งชอบมาเกาะทำรัง (ผมเคยมาตีผึ้ง ที่ซอยวัดท่ามะขามหลายครั้ง กับ เฮียเต้ว เพื่อนรุ่นพี่และเพื่อนๆ หลายหนแล้ว) ตรงที่มีบ้านมากเป็นชุมชนนั้นก็จะไปกระจุกอยู่ ที่แถวๆใกล้ๆวัดแหละมากที่สุด

ผมกับไอ้เหม่งคู่หูถีบจักรยานเข้าไปเกือบถึงวัดอยู่แล้ว มองไปทางด้านซ้ายมือตรงนั้นมีต้นกอไผ่ป่าขึ้นข้างทางมืดครึ้ม มองเห็นคนสัก ๔ – ๕ คนเห็นจะได้กำลังเอาจอบและเสียมขนาดใหญ่ ขุดลงไปในดินบริเวณนั้นแล้วคุ้ยขึ้นมา  

"คงเป็นตรงนี้แหละมั้ง"

ผมบอกกับไอ้เหม่ง

"แวะดูกันเลยดีกว่า"

ไอ้เหม่งมันบอกผม ผมพยักหน้าตกลง แล้วเราสองคนก็หยุดรถจูงจักรยานเข้าไปไต้ร่มเงาของกอไผ่ป่านั้น ผมตะโกนถามคนพวกนั้นว่า

"ขุดหาอะไรกันหรือครับน้า" 

คนผู้ชายที่ใส่งอบใบใหญ่นั้น เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วว่า

"กำลังขุดหาเปลือกหอยกาบน่ะหนู ขุดมาหลายหลุมแล้วยังไม่เจอ ข่าวนี้คงโกหกเป็นแน่ "

แล้วแกก็ถามผมว่า

"ไอ้หนูมาจากไหนกันล่ะ " ผมก็ว่า

"มาจากเจ็ดเสมียนอยากจะมาหาขุดเปลือกหอยแถวๆนี้เหมือนกัน ได้ข่าวว่าแถวที่ตรงนี้แหละเมื่อสมัยก่อนนั้นมีคนมาทิ้งเปลือกหอยไว้แถวนี้ " 

ชายคนนั้นก็บอกว่า

" ก็ลองดูซี ถ้าโชคดีก็อาจจะเจอก่อนพวกฉันก็ได้ หรือบางทีก็อาจจะไม่เจอเลย เพราะคนบอกนั้นอาจจะโกหกกันเล่นๆ สนุกๆ เท่านั้น"  

แล้วแกก็หัวเราะร่วน ผมหันมาถามไอ้เหม่งว่า

"ไหนๆมาแล้วเราจะลองเดินดูสถานที่กันสักหน่อยก่อนเอาไหม"  

ไอ้เหม่งว่า

"เอาก็เอาไหนๆมากันถึงนี่แล้ว คงจะดีกว่าไม่ได้ดูอะไรเลย คงดีนะพี่"

ดังนั้นผมกับไอ้เหม่งก็คว้าเอาเสียมแทงดินเล็กๆ ๒ อันที่เตรียมมานั้น ถือคนละอันเดินลุยหญ้า ลุยดงเสือหมอบซึ่งขึ้นสูงถึงหัว พลางเอาเสียมฟาดกิ่งต้นเสือหมอบให้โล่งๆ แล้วขุดคุ้ยดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะว่าเราไม่จอบหรือเสียมอันใหญ่ๆมาเลย

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมกับไอ้เหม่งก็ยังไม่มีวี่แววจะรู้ว่า ขุมทรัพย์เปลือกหอยกาบอันมหาศาลอยู่ตรงไหนเลย เพราะว่าที่ตรงนี้กว้าง และมีกอไผ่ขึ้นหนาแน่นด้วย

ผมคิดในใจว่าเปลือกหอยกาบนี้ถ้ามันมีจริงๆตรงนี้  วันเวลามันผ่านพ้นมานานมากแล้ว มันก็น่าจะอยู่ลึกลงไปมากกว่านี้สักหน่อย พวกที่มาขุดก่อนเรานี้ผมสังเกตดูก็ขุดลงไปไม่ลึกสักเท่าไร  ผมว่าอย่างน้อยก็ต้องลึกเป็นเมตร หรือเมตรครึ่งถึงสองเมตร หรืออาจจะกว่านั้นอีก

ถ้าเปลือกหอยมีจริงต้องลึกขนาดนั้นแน่ๆ ผมจึงกระซิบบอกไอ้เหม่งเบาๆตามที่ผมคิดได้แล้วบอกไอ้เหม่งว่า

"วันนี้เราเอาแค่นี้ก่อนดีกว่ากลับไปบ้านก่อน พรุ่งนี้แต่เช้ามืดเลยเรามากันอีกครั้งหนึ่ง เตรียมจอบมาด้วยแล้วพยายามขุดให้ลึกๆถ้ามีเปลือกหอยก็ต้องเจอแน่นอน"

ไอ้เหม่งพยักหน้ารับรู้แล้วบอกว่า

"ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละพี่ พี่ท้อหรือเปล่า ผมไม่ท้อนะ"

ผมบอกคนกลุ่มนั้นที่มาขุดหาเปลือกหอยก่อนหน้าผมว่า

"ผมไม่เอาแล้ว กลับบ้านก่อนละ เพราะว่าท่าทางคนที่บอกนั้นจะโกหกเล่น"

คนกลุ่มนั้นก็ว่า

"ฉันก็ไม่เอาเหมือนกัน ขุดไปหลายหลุมก็ไม่เห็นมีเปลือกหอยเลย มีแต่เศษอะไรก็ไม่รู้ มีแต่กระดูกวัวควายเก่าๆ โผล่มาหลายท่อนด้วยกัน และเศษไม้ ซากไม้เกลื่อนไปหมด เนี่ยพวกเราก็จะไปหาที่อื่นต่อเหมือนกัน"

ผมกับไอ้เหม่งเก็บเสียมผูกไว้บนกระสอบป่าน ที่ตระแกรงท้ายรถจักรยานของผม แล้วเราสองคนขึ้นรถคนละคัน ถีบออกไปจากซอยวัดท่ามะขามนั้น ตรงกลับไปบ้านเลยทีเดียวไม่นานนักก็ถึงบ้าน ในระหว่างทางที่ถีบรถกลับนั้น ก็คุยกับไอ้เหม่งถึงการวางแผนการขุดในวันพรุ่งนี้ตลอดทาง

ตกเย็นวันนั้นผมไปเล่าให้ไอ้ธร (เพื่อนสนิทคนหนึ่ง) และเพื่อนคนอื่นๆฟังที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน ถึงเหตุการณ์ที่ผมได้ไปดูมาที่ซอยวัดท่ามะขาม และบอกไอ้ธรว่า

"ถ้าคนที่มาบอกให้เราฟังเมื่อเช้าวันนี้นั้น ไม่ได้โกหกเรามันจะต้องมีเปลือกหอยกาบอย่างแน่นอน แต่ต้องขุดลึกลงไปสักหน่อย เพราะว่าแต่ก่อนนั้นมันเป็นที่ลุ่ม น้ำท่วมมาก่อน  มันก็ต้องลึกบ้างเป็นธรรมดา"

ไอ้ธรและคนอื่นๆที่นั่งคุยอยู่ด้วยกันนั้นฟังผมบอกอย่างสนใจ ไอ้ธรพยักหน้าเห็นด้วย 

แล้วผมก็เลยชวนพวกเราทุกคนว่า

"ถ้าใครสนใจในตอนเช้าวันพรุ่งนี้เตรียมตัวไปกันเลย เตรียมเครื่องมือในการขุดไปด้วย ถ้าใครไปพร้อมกันไม่ทันก็ถีบรถจักรยานตามไปทีหลังก็ได้" ผมบอกสถานที่ให้เสร็จ เพื่อนเด็กตลาดที่ได้คุยกันก็ตกลงตามนั้น.

 

100 kaew2

นายแก้ว ผู้เขียน ๘ ธันวาคม ๒๕๕๙